วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผัดถั่วงอกเลือดหมู

สวรรค์ในครัว
เขียง มะขาม


อาหารบางอย่างกินมาตั้งแต่เด็กจนโต นึกว่าทำง่ายๆ จะทำกินเมื่อไหร่ก็ได้

พอลองลงมือทำเองถึงได้ซาบซึ้งว่า

ไอ้หนูเอ๋ย เอ็งเข้าใจอะไรผิดมาตลอด

อย่างผัดถั่วงอกเลือดหมู หรือผัดเลือด หมูถั่วงอก แล้วแต่จะชอบเรียกอย่างไหนนี่ก็เหมือนกัน

สมัยก่อน เช้าๆ วันเสาร์หรืออาทิตย์ ช่วงที่พ่อกับแม่ยังเช่าบ้านอยู่ที่ซอยลาซาล-แบริ่ง

ถ้าเกิดมีใครเสนอความคิดขึ้นมาว่าวันนี้อยากกินผัดถั่วงอกเลือดหมูละก็

ต้องมีคนอาสาปั่นจักรยานไปซื้อของที่ตลาดสำโรงในบัดนั้น

ของกลับมาถึงบ้านไม่กี่อึดใจ แม่ก็ผัดขึ้นตั้งบนโต๊ะ กลิ่นหอมฉุย กินกับข้าวร้อนๆ เท่าไหร่ก็ไม่เบื่
ต้องมีคนอาสาปั่นจักรยานไปซื้อของที่ตลาดสำโรงในบัดนั้น

ของกลับมาถึงบ้านไม่กี่อึดใจ แม่ก็ผัดขึ้นตั้งบนโต๊ะ กลิ่นหอมฉุย กินกับข้าวร้อนๆ เท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ก็ตักผัดถั่วงอกเลือดหมูราดข้าว แล้วเอาน้ำพริกกะปิราดซ้ำลงไปอีกที ให้มีรสอื่นเพิ่มขึ้นอีก

อร่อยไปอีกแบบ

แต่งงานแล้ว มาพึ่งบารมี (และฝีมือ) คุณแม่ยาย ก็ได้กินผัดถั่วงอกเลือดหมูรสเดียวกันกับที่แม่เคยทำเปี๊ยบ

ก็ยังไม่นึกอยากจะลงมือเอง จนกระทั่งคุณยายผัดให้กินอีกเมื่อไม่กี่วันก่อน

กินเช้าเสร็จ หิ้วใส่ปิ่นโตมากินเที่ยงที่ที่ทำงานอีก

ตามประสาพวกย้ำคิดย้ำทำ(ฮา)

แล้วก็นึกได้ว่าที่ผ่านมาคิดเอาเองทั้งนั้นว่าผัดถั่วงอกทำยังไง ไม่เคยถามผู้ลงมือปฏิบัติเลย

ว่าแล้วก็ไปปะเหลาะถามคุณแม่ยายว่าขั้นตอนก่อนจะมาเป็นจานๆ วางบนโต๊ะนี่ต้องทำยังไงบ้าง

ฟังแล้วก็เอ๋อไปเลย

สูตรคุณแม่ยายมีอย่างนี้ครับ

เริ่มต้นจากเลือดหมู จะให้หมดคาว ซื้อมาแล้วหั่นเป็น ชิ้นใหญ่ๆ เอาไปลวกน้ำเดือดสัก 3 รอบ

ตั้งกระทะ ไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไปพองาม พอน้ำมันเริ่มร้อน เอาเลือดหมูของเราลงไปทอด หรือจะให้ถูกต้องเรียกว่าคั่วแบบมีน้ำมัน

พอเกรียมๆ แล้วตักขึ้นมาพักไว้

ถ้ากลัวอ้วน กลัวโรคหัวใจ จะช้อนน้ำมันออกมาบ้างก็ได้ แล้วเอากระเทียมที่สับๆ เตรียมไว้ลงไปผัดฉี่ฉ่า

พอกระเทียมหอมดีก็โยนถั่วงอกที่ล้างน้ำ เด็ดหาง และดึงปลอกดำที่หัวแล้ว ใส่กระทะลงไป

เร่งไฟแรง ผัดเร็วๆ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว หรือถ้าชอบหวานก็ตัดน้ำตาลลงไปนิดเดียวพอ

ก่อนถั่วงอกสลดเอาเลือดหมูที่พักไว้ลง ไปผัดรวม

ตามด้วยต้นหอมที่หั่นไว้เป็นชิ้นๆ ยาวประมาณ 1 นิ้ว

เคล้าให้เข้ากันดี แล้วรีบตักขึ้น

ถ้าทำได้เร็วๆ ถั่วงอกของเราจะยังไม่นิ่มปวกเปียก แต่สด หวาน กรอบ

กินกับเลือดหมูที่มีกลิ่นหอมเพราะทอดมาเกรียมๆ

บอกแล้วว่าเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

ถูกดี มีประโยชน์ อร่อยด้วย

กินไปก็รำลึกความหลังไปด้วย

อร่อยขึ้นไปใหญ่


ขอบคุณพิเศษ นสพ ข่าวสด http://www.khaosod.co.th/

ส้มตำร้านเจ้น้อย แซบหลายที่เมืองเลย

อําเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เจ้าของงานประเพณี "การละเล่นผีตาโขน" ในเดือนมิถุนายนของทุกปี เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังระดับประเทศอีกแห่ง

ใครไปเที่ยวคงต้องหาของกินอร่อยๆ เช่นกัน โดยเฉพาะเมนูภาคอีสานยอดฮิตอย่าง "ส้มตำ"

ร้านส้มตำเจ้น้อย อยู่บ้านเลขที่ 317 บริเวณตลาดสดเทศบาลด่านซ้าย

นางภณิฐา หล้าแหล่ง เล่าว่า แต่ก่อนมีอาชีพขายผ้าแต่ขายไม่ดีก็เลยเลิก ไม่รู้จะทำอะไรก็มาลองปิ้งไก่ (ตูดไก่) ขายอยู่ที่หน้าห้องสมุด หน้าที่วˆาการอำเภอดˆานซ้าย ซึ่งเขามีแผงลอยขายส้มตำอยู่ก่อนแล้ว ขายได้สักพักปรากฏว่าคนที่ขายส้มตำอยู่สอบครูได้ เขาก็เลยโอนกิจการให้ทำต่อ

เดิมขายที่หน้าห้องสมุด 2 ปี ก็ย้ายมาขายที่ตลาดของเทศบาลอีก 2 ปี จึงมาเปิดเป็นร้านขายซึ่งเป็นคูหาห้องเดียวเล็กๆ อยู่ที่นี่มา 6 ปีแล้ว ตั้งชื่อว่า ร้านเจ้น้อย



























ส้มตำของทางร้านมีให้เลือก 12 ชนิด ทั้งตำไทยและตำลาว เน้นรสชาติเข้มข้นถูกใจลูกค้า เช่น ส้มตำปูปลาร้า ส้มตำหน้าผักสะทอน ซึ่งน้ำผักสะทอนทำมาจากต้นผักสะทอนที่รสเค็มและอร่อย เป็นที่นิยมบริโภคของอำเภอด่านซ้าย ตามด้วย ส้มตำไทย ส้มตำผัก ส้มตำปู ส้มตำชัวะ ส้มตำไทยปู ส้มตำแตงกวา ส้มตำไทยไข่เค็ม ส้มตำแตงไข่ ส้มตำโคราช และส้มตำแครอต พ่วงด้วยปลาดุกย่างและหมูย่าง

การที่มาทำส้มตำแปลกๆ ก็เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่หลากหลาย อย่างตำไทยไข่เค็มที่ไปเห็นมา เขาจะตำไข่เค็มจนละเอียดใส่ในส้มตำดูไม่สวย เราก็มาปรับรูปแบบหั่นเป็นรูปสี่เหลี่ยมคล้ายลูกเต๋าโรยหน้า จึงดูน่ากิน

สำหรับส้มตำผัก ก็จะเป็นผักพื้น บ้าน เช่น ผักกูด ผักก้านจอง หรือตาลปัตรฤๅษี ผักตำลึง ใช้แทนเส้นมะละกอ แล้วใส่เส้นแครอตเข้าไป ให้แลดูสวยงามน่ากิน ส่วนส้มตำใส่น้ำผักสะทอน คนด่านซ้ายและคนเมืองเลยชอบ แต่ถ้ามาจากที่อื่นอาจไม่ชอบ

วัตถุดิบหลักที่ใช้ ได้แก่ มะละกอ มะเขือเครือ (มะเขือเทศพื้นบ้าน) ปลาร้า ที่ต้มสุกแล้ว น้ำผักสะทอน ถั่วลิสง โดยถั่วลิสงเราจะเอามาคั่วเอง ถ้าซื้อมาอาจมีเชื้อรา มีกลิ่น ด้านปูก็เป็นปูนาตัวเล็ก บ้านเราเรียกกันว่าปูขี้ไก่ โดยซื้อจากชาวบ้านที่เขาหามาให้ เอามานึ่งให้สุก ใส่ในส้มตำแล้วแต่คนชอบ

ทางร้านเรายังบริการจัดเป็นส้มตำถุงขาย ซึ่งส้มตำถุงนั้นจะไม่ตำ แต่จะจัดเครื่องปรุงให้ครบ คนที่ซื้อไปต้องไปตำเอง ซึ่งรสชาติไม่แตกต่างจากที่ทางร้านทำ โดยเครื่องปรุงนั้นจะเก็บได้หลายวัน โดยใส่ตู้เย็นเอาไว้ แต่เส้นมะละกอเป็นมะละกอสด ถ้าเดินทางไกลจะเอาใส่กล่องโฟมให้ ส่วนมากที่เอาไปไกลๆ เช่น ไปกรุงเทพฯ หรือจังหวัดต่างๆ เขาจะเอาแต่เครื่องปรุงเส้นมะละกอเขาจะหาเอาข้างหน้า

สำหรับน้ำผักสะทอน มะเขือเครือพื้นบ้าน ซึ่งที่อื่นไม่มี ถ้าลูกค้าอยู่ในตัวจังหวัดเลย จะตำสำเร็จรูปไปได้เลย รสชาติไม่จืด หรือต้องการเป็นชุดเราก็จัดให้ ราคาก็คิดถุงละ 20 บาทเท่าที่เราตำขาย ถ้าเขาโทร.มาสั่งครั้งละ 30-40 ชุด เช่นที่พิษณุโลก เพชรบูรณ์ หรือกรุงเทพฯ ก็จะแพ็กใส่กล่องโฟมส่งรถทัวร์ไปให้ แล้วโทร.แจ้งให้เขาทราบ

ร้านเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หากจะโทร.สั่งจองเป็นถุง ติดต่อที่หมาย เลขโทร.08-0782-8377
ขอบคุณพิเศษ นสพ ข่าวสด http://www.khaosod.co.th

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

"แพรชมพู" สีสวยหวาน












http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/156670

"ไผ่มากินหน่อย" ไผ่ลำเดียวไต้หวัน



















http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/156069

"เตยหอม–ฟ้าทะลายโจร" แก้ร้อนใน













http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/155605

"มะพร้าวกะทิโบราณ" พอมีต้นขาย












Credit : http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/158382

"มะเขือขื่น" กับสรรพคุณน่ารู้


















Credit : http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/155834

ชงโคออสเตรเลียใหม่" ดอกชมพูเข้มล้วน
















Credit : http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/159412

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

ภาพถ่ายหน้าหนาว หิมะปกคลุม 2

ภาพถ่ายหน้าหนาว หิมะปกคลุม 1 http://peonyice17.blogspot.com/2011/02/blog-post_01.html



เก็บภาพรายทาง เป็นเมืองหนาวทางเหนือของอเมริกา

Minnesota มินเนโซต้า









2554-01-30




ไว้แวะเข้ามาลงต่อ ภาพโหลดช้ามาก





























































































ตามไปดูมอเตอร์โชว์ เปิดโลกยนตรกรรมสู่อนาคต


ประเดิมการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 32 หรือมอเตอร์โชว์ที่ย้ายจากไบเทคมาจัดที่ชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 25 มี.ค.-5 เม.ย.นี้ มีค่ายรถยนต์ร่วมงาน 35 รายและรถจักรยานยนต์ 7 ราย รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งอีก 117 บริษัทเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษว่ากำลังการผลิตที่ส่อเค้าว่ามีปัญหาเรื่องชิ้นส่วนและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ค่ายรถยนต์หันมาผลิตรถช่วยลดมลพิษให้กับโลกใบนี้ จะช่วยกระตุ้นให้คนไทยมีใจอยากจับจ่ายใช้สอยได้แค่ไหน

เริ่มจากการเปิดตัวรถปิกอัพใหม่แกะกล่องของ 2 ค่าย คือ “โคโลราโด” ปิกอัพสายพันธุ์อเมริกันแท้จากค่ายเชฟโรเลต ที่ดูบึกบึนโฉบเฉี่ยวทันสมัยมาพร้อมเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรโดยจะเปิดขายปลายปีนี้ 

หันมาทางค่ายฟอร์ดส่ง “เรนเจอร์” ใหม่เข้าประกวดและขายปลายปีเช่นกัน ส่วนข้อมูลเบื้องต้นฟอร์ดมีตัวถังให้เลือกถึง 3 แบบ คือ แบบธรรมดา โอเพ่นแค็บและดับเบิลแค็บ ใช้เครื่องยนต์ 3 รุ่น คือ เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร กับ 3.2 ลิตร 5 สูบและเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ขณะที่ค่ายอีซูซุส่งรถอเนกประสงค์ (เอสยูวี) คันเท่ ที่ได้รางวัลความพอใจสูงสุด
2 ปีซ้อน เปิดตัวโชว์ครั้งแรก “อีซูซุ มิว-เซเว่น ช้อยส์” เครื่องยนต์ 3,000 ซีซี เทอร์โบ 163 แรงม้าขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ โดยภายในได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมด ดูสปอร์ตสะดุดตาด้วยสีขาวและสีดำอินเทรนด์

ด้านรถหรูค่ายดาวสามแฉก เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีรถใหม่ไม่น้อยกว่า 5 แบบ 5 รุ่นมาให้เลือก เช่น รถเอ็มพีวี “เมอร์เซเดส-เบนซ์ วีโต้” ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ เคาะราคา 2.82 ล้านบาท หรือรถสปอร์ต “เอสแอลเค 350” ค่ายใบพัดฟ้าขาวส่งรถสปอร์ตเปิดประทุน ในตระกูลซีรีส์ 6 “บีเอ็มดับเบิลยู 640 ไอ คอนเวอร์ทิเบิล” เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร ราคา 9.499 ล้านบาท ขณะที่ค่ายวอลโว่นำ “เอส 80 ดี3” เครื่องยนต์ดีเซล เข้ามาเสริมไลน์ตระกูลเอส 80 โดยเครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงใหม่ประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 30%

ย้ายมาทางค่ายฮอนด้าเปิดตัวรถอีโคคาร์คันแรกในโลก “บริโอ้” คันเล็กกะทัดรัดสีสันแจ่มแจ๋วมาพร้อมเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 90 แรงม้า อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 20 กม./ลิตร มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ ราคาอยู่ระหว่าง 399,900-508,500 บาท ปะทะคู่แข่ง “นิสสัน มาร์ช” ได้อย่างสูสี 

ลองหันมาดูรถต้นแบบ แต่ละค่ายได้พัฒนานวัตกรรมยานยนต์เพื่ออนาคตจริง ๆ โดยค่ายโตโยต้านำมาโชว์ถึง 2 รุ่นคือ “เอฟที 86” หรือ “ฮาชิโรกุ” รถสปอร์ตต้นแบบขนาดกะทัดรัด 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบลูกสูบนอนขนาด 2 ลิตร และ “เอฟที-อีวี ทู” เป็นรถไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดสำหรับการเดินทางระยะสั้นหรือในเมือง โดยการพัฒนาตัวถังขนาดกะทัดรัดแต่จุผู้โดยสารได้ถึง 4 คน ทำความเร็วสูงสุด 100 กม./ชม. ขับขี่ได้ระยะทาง 90 กม.เมื่อชาร์จไฟเต็มที่
ค่ายมิตซูบิชินำรถต้นแบบอีโคคาร์ “โกลบอล สมอล” รถเล็กประหยัดน้ำมันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ สามารถรองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง ซึ่งมิตซูบิชิวางแผนผลิตในประเทศไทยและจะเปิดตัวในเดือน มี.ค. ปี 2555 ส่วนค่ายเกียนำ “ออพติมา เค 5 ไฮบริด” รถใช้ระบบไฮบริดเต็มรูปแบบมาประชัน พร้อมกับซูซูกิ “สวิฟท์ เรนจ์ เอ็กซ์เทนเดอร์” รถยนต์ต้นแบบที่ใช้พลังงานไฮบริด ตามด้วยโปรตอน ค่ายรถดังจากแดนเสือเหลืองที่นำรถ “โปรตอน เลอเค้” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานการต่อสู้ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.6 ลิตร เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบขับรถแข่ง

นอกจากนี้ค่ายรถต่าง ๆ ได้ยกทัพรถรุ่นเดิม รุ่นปรับโฉม รุ่นใหม่ พร้อมแคมเปญเด็ดให้เลือกชมเลือกช้อปตามใจชอบอีกมากมายถึงวันที่ 5 เม.ย.นี้.







































Credit : http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=521&contentId=129129

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

'ยาดมสมุนไพร' ทำขาย'ยังไม่ตกยุค'

จากความชอบส่วนตัวก็สามารถทำให้กลายเป็นอาชีพมานักต่อนักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานเย็บปักถักร้อย งานประดิดประดอยต่าง ๆ ซึ่งถ้าตลาดไปได้ดี มีคนนิยมชมชอบ จากแค่อาชีพเสริมสร้างรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลายเป็นอาชีพหลักได้เลย อย่างการทำ “ยาดมสมุนไพร” ขาย นี่ก็อยู่ในข่าย และก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ยังไม่ตกยุค...
     
หมู-พฤทธิ์ พิมพบุตร เป็นเจ้าของยาดมสมุนไพร “บุษย์น้ำทอง” ซึ่งมีสถานที่ในการผลิตคือที่บ้านของตัวเอง โดยมีญาติ ๆ และคนในครอบครัวเป็นผู้ช่วยผลิตในแต่ละขั้นตอน เจ้าตัวเริ่มต้นผลิตจริงจังตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา และเริ่มจำหน่ายในช่วงเดือนธันวาคมในปีเดียวกัน พฤทธิ์บอกว่า แรงบันดาลใจมาจากความชอบส่วนตัวที่เป็นคนชอบการดมยาดมอยู่เป็นชีวิตจิตใจ เรียกว่าดมแทบจะทุกยี่ห้อเลยก็ว่าได้ และก็ไปเจอยาดมสมุนไพรยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งรู้สึกประทับใจในกลิ่นอย่างมาก เพราะมีความแตกต่างจากยาดมยี่ห้ออื่น ๆ ที่เคยดมมา ยิ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจ
    
อยากผลิตเป็นแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง จึงไปเรียนการทำยาดมสมุนไพรที่ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย ซึ่งขณะที่เรียนนั้นทุกคนก็ต้องทำสูตรเดียวกันหมด ซึ่งเป็นสูตรของอาจารย์ ทำให้ไม่มีความแปลกใหม่และแตกต่าง จึงได้ศึกษาเพิ่มเติม และนำสิ่งที่เรียนจากชมรมนี้มาปรับสูตรการทำยาดมสมุนไพรให้แตกต่างออกไปจากที่เคยเรียนมา ซึ่งกว่าจะลงตัวก็ใช้ระยะเวลาพอสมควร ก่อนจะนำไปขาย ก็เริ่มจากแจกจ่ายให้ญาติ ๆ และเพื่อนฝูงได้ทดลองใช้ก่อน        


จ้าตัวเล่าอีกว่า ความแตกต่างของสูตรยาดมสมุนไพรของตนนั้น คือการใช้ ผิวมะกรูด นอกจากนี้ยังมีการนำเมนทอล และยูคาลิปตัส มาผสมในตัวยาดมด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนที่ทดลองทำยาดมแรก ๆ นั้น มีส่วนผสมทั้งหมด 13 ชนิดคือ กานพลู พริกไทยดำ โกฐหัวบัว โกฐสอ เปลือกสมุลแว้ง ดอกจันทน์ แก่นจันทน์ขาว ผิวมะกรูด โป๊ยกั๊ก พิมเสน เมนทอล การบูร แต่ปัจจุบันได้ตัดเปลือกสมุลแว้ง และโป๊ยกั๊กออกไป        

สมุนไพรที่ใช้ในการทำยาดมทุกอย่างนั้นหาซื้อได้ที่ร้านค้าย่านแยกวัดตึก กรุงเทพฯ แต่ละชนิดมีราคาตั้งแต่ 70–1,500 บาท ซึ่งปัจจุบันนี้ราคาสมุนไพรสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเกือบ 50% เนื่องจากมีผู้นิยมนำมาทำยาดมมากเช่นกัน สมุนไพรบางตัวราคา กก.ละกว่า 1,000 บาท เช่น ดอกจันทน์ ราคา กก.ละ 1,200–1,300 เมนทอล ราคา กก.ละ 1,500 บาท แต่บางอย่างก็ราคาไม่แพง อาทิ แก่นจันทร์ขาว ราคา กก.ละ 70 บาท ส่วนพริกไทยดำ และกานพลู ราคา กก.ละประมาณ 350-450 บาท
   
วิธีทำ สมุนไพรทุกอย่างที่นำมาทำ ก็ทำให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ด้วยการผ่า ยกเว้น กระวาน กานพลู พริกไทยดำ และพิเศษตรงลูกมะกรูดสดที่ต้องฝานเอาแต่เปลือกออกมา แล้วนำเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปผึ่งไว้ 2-3 วันก่อน เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำมาใส่ลงในผ้าขาวรวมกัน เฉลี่ยอย่างละ 200 กรัม จากนั้นใช้ผ้าพลาสติกคลุมไว้ 2-3 วัน
   
ส่วน พิมเสน เมนทอล การบูร จะแยกไปตุ๋นไว้ต่างหาก       

พฤทธิ์บอกว่า เคล็ดลับในการทำยาดมสมุนไพรนั้น คือส่วนผสมแต่ละอย่างต้องแห้ง เช่น มะกรูด ยิ่งตากแห้งเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าแต่ละอย่างมีความเปียกหรือแฉะมากเกินไปจะทำให้สมุนไพรไม่เข้าเนื้อกัน ส่วนสถานที่ในการทำยาดมนั้นก็ต้องสะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อย         วิธีทำขั้นต่อมาคือ นำพิมเสน เมนทอล การบูร ปริมาณอย่างละเท่า ๆ กัน มาตุ๋นรวมกัน เพื่อให้ละลายจนได้น้ำออกมาใส่ขวดพักไว้ นำส่วนผสมต่าง ๆ มารวมกันแล้วหมักไว้ 3-5 วันจึงเปิดออก ใช้ไม้คลึง หรือใช้ขวดแก้วมาคลึงเพื่อให้สมุนไพรบางตัวที่เป็นเม็ดแตกออก ให้ส่งกลิ่นหอมออกมา ตักน้ำที่เป็นส่วนผสมของพิมเสน เมนทอล การบูร ประมาณ 15 ช้อนชาลงไปคลุกให้เข้ากัน โดยพฤทธิ์บอกว่า การคลุกสมุนไพรกับน้ำหมักนั้น ต้องค่อย ๆ ตักลงผสมทีละช้อน อย่าตักใส่ลงไปทีเดียวหมด เพราะจะทำให้สมุนไพรแฉะ
   
เมื่อผสมส่วนผสมครบแล้ว ก็ค่อย ๆ ตักแบ่งใส่ขวดแก้วที่เตรียมไว้ ขวดเล็กใส่สมุนไพร 2 กรัม, ขวดกลาง ใส่ 5 กรัม และขวดใหญ่ใส่ 10 กรัม ปิดฝา และติดสติกเกอร์ให้เรียบร้อย ขายในราคาขวดละ 25, 35 และ 50 บาทตามลำดับ โดยพฤทธิ์บอกว่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว จะได้กำไรขวดละประมาณ 30% จากราคาขาย
   
“สูตรนี้เป็นสูตรโดยเฉลี่ยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สามารถเพิ่มสมุนไพรบางตัวได้ หากอยากได้กลิ่นหอมของสมุนไพรชนิดนั้น ๆ แต่ข้อสำคัญคือในการผสมอย่าทำให้เกิดความแฉะ สมุนไพรที่ดีต้องแห้ง” พฤทธิ์กล่าวแนะนำ
    
   
สนใจ “ยาดมสมุนไพร” ของ พฤทธิ์ พิมพบุตร ติดต่อได้ที่ 29/98       หมู่บ้านวรารักษ์ ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โทร. 08-3070-8916 และ 08-5058-9777 หรืออีเมล ppm1629@hotmail.com ซึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรในปัจจุบันยังไม่ตกยุค.

ทุนอุปกรณ์    ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ    ประมาณ 70% ของราคา

รายได้    ราคาขวดละ 25-50 บาท

แรงงาน    1-2 คนขึ้นไป

ตลาด    ส่งร้านขายยา-ร้านค้าทั่วไป

จุดน่าสนใจ    คนไทยยังนิยมใช้กันมาก



Credit : http://www.dailynews.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

แกงเลียงใบแต้วหมู ผักพื้นบ้านเพื่อสุขภาพ มีสารต้านเซลล์มะเร็ง

จานเด็ด 77 จังหวัด
อาหารพื้นบ้านของชาวระยอง มักนิยมนำพืชผักหลายชนิดมาปรุงอาหารได้หลากหลาย นอกจากมี ใบชะมวง แล้ว ยังมี ใบแต้ว ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวคล้ายกัน ใช้จิ้มน้ำพริก รสชาติลงตัว

ผักแต้วเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยขับลม ช่วยระบายได้อย่างดีเยี่ยม และยังมีผลวิจัยว่าผักชนิดนี้มีสารต้านเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

กวิสรา เรืองทับ ข่าวสดระยอง แนะนำอีกเมนูที่ใช้ใบแต้วชูโรง นั่นคือ "แกงเลียงใบแต้วหมู" ที่มีวิธีทำแสนง่าย กับสูตรแกงเลียงพื้นบ้านของ นางเทียน โพธิ์แก้ว อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) หมู่ 14 บ้านเขายายดา ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง

วัตถุดิบที่ขาดไม่ได้คือกะปิ กับผักแต้วที่เด็ดเอาแต่ยอดอ่อนมาแกง

วิธีทำเริ่มจากใช้พริกแห้ง กระเทียมปอกเปลือก หัวหอมแดงปอกเปลือก พริกไทยเม็ด โขลกให้ละเอียดกับกะปิจนเป็นเนื้อเดียวกัน จึงได้เครื่องแกงเลียงสูตรพื้นบ้าน

จากนั้นต้มน้ำใส่เครื่องแกงเลียงลงไปคนให้ละลายเข้ากัน และต้มจนน้ำเดือดพล่าน หั่นหมูสามชั้น เป็นชิ้นพอคำ ใส่ลงไป ปรุงรสเพิ่มด้วยเกลือ และน้ำตาล ให้ได้รสชาติตามชอบ (ต้องชิมก่อนปรุงเพราะกะปิ จะออกรสเค็มอยู่แล้ว)

หลังจากน้ำเดือดได้สักครู่ใหญ่ ก็ใส่ใบแต้วที่เตรียมไว้ล้างสะอาดแล้วลงไปในน้ำที่เดือด เคี่ยวให้รสเปรี้ยวของใบแต้วซึมออกมา ชิมน้ำให้ได้รสสามรสตามชอบ รอให้เดือดจัด ประมาณ 15-20 นาที

จากนั้นปิดไฟ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟร้อนๆ กินกับข้าวสวย พร้อมน้ำปลาใส่ถ้วยหรือเหยาะสักนิด แกงเลียงใบแต้วหมูจานนี้อร่อยเยี่ยม

ใบแต้วที่แกงแล้วมีความมันออกเปรี้ยว หอมกะปิเหมาะเจาะกับหมูสามชั้น หรือจะปรับมาแกงกับปลาย่างหรือแกงกับปลาเค็มก็ได้เช่นกัน

อิ่มไปกับอีกมื้อดีมีประโยชน์เต็มเปี่ยมกับพืชสมุนไพรไทย



Credit :http://www.khaosod.co.th/

แกงส้มชะอมไข่ กุ้งสด รสจัดจ้าน-ร้าน'ครัวลำพู'

อิ่มอร่อย
แกงส้ม อาหารพื้นบ้านที่คุ้นลิ้นคนไทย เป็นหนึ่งในเมนูอาหารประจำวัน มีให้กินกันทุกภาค

แต่ละภาคก็จะมีการปรุงแต่งรสชาติที่แตกต่างกันเล็กน้อย

ร้านครัวลำพู ต.บางเลน อ.เมือง จ.นนท บุรี ดึงเอาจุดเด่นของแกงส้ม อาหารพื้นบ้าน มาเป็นเมนูหลักเรียกลูกค้า

คุณหงิม ภาสกร กลิ่นช้าง เจ้าของร้านครัวลำพู กล่าวว่า ทางร้านเปิดให้บริการมากว่า 3 ปี เน้นอาหารพื้นบ้านภาคกลาง ที่มีให้เลือกมากกว่า 100 รายการ

"แกงส้มชะอมไข่ กุ้งสด" เป็นอาหารจานที่ลูกค้าสั่งกันทุกโต๊ะ

ความอร่อยอยู่ที่พริกแกงส้มที่รสชาติจัดจ้านเข้มข้น หอมเครื่องพริกแกง

ทางร้านตำเครื่องแกงส้ม สูตรดั้งเดิมที่ได้สืบทอดมาจากรุ่นคุณยาย สดใหม่ทุกวัน ด้วยความเข้มข้นของน้ำแกง และชะอมชุบไข่ทอดกรอบหั่นชิ้นพอดีคำ และกุ้งแม่น้ำสดๆ ตัวใหญ่ พร้อมกับการปรุงรสชาติอาหารแบบไม่กั๊กเครื่องปรุง

จึงทำให้อาหารเมนูนี้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า กินกับข้าวสวยร้อนๆ สักจานเข้ากันพอดี

ทางร้านเสิร์ฟเป็นหม้อไฟ 1 หม้อ กินได้ 4-5 คน สนนราคาหม้อละ 199 บาท 

เมนูอาหารปลาที่ขึ้นชื่อของร้าน ปลากะพงทอดน้ำปลา ที่ได้คัดปลากะพงน้ำหนักเฉลี่ย 7-8 ขีดต่อตัว เป็นขนาดที่กำลังกินไม่เล็กและใหญ่จนเกินไป นำมาสดๆ หากมีลูกค้าสั่งจึงได้นำมาประกอบอาหาร ทำให้ได้ความสดหวานของเนื้อปลา ทางร้านผ่าครึ่งตัวปลาแล้วชุบแป้งเล็กน้อย ทอดด้วยน้ำมันที่ร้อนจัด จนสุกกรอบทั่วทั้งตัว หลังจากนั้นนำน้ำปลามาผัดกับน้ำมันใส่เครื่องปรุงตามสูตร เสร็จแล้วนำมาราดบนตัวปลาให้ทั่ว กินคู่กับน้ำยำสามรสสูตรทางร้าน เนื้อปลาจะกรอบนอกนุ่มใน 1 ตัว กินได้ 3-4 คน ราคาตัวละ 220 บาท

หากลูกค้าที่ชอบอาหารแบบเผ็ดร้อนทางร้านมี "ทะเลผัดฉ่า" เข้มข้นด้วยเครื่องปรุงรสและผักสมุนไพร ที่เผ็ด ร้อน อย่างข่าซอย พริกไทยสด ใบมะกรูด กระเทียม ใบโหระพา พริกขี้หนูสวน และพริกชี้ฟ้าสีแดงซอย ผัดกับกุ้งสด เนื้อปลากะพงสด ปลาหมึกสด ปรุงรสชาติตามสูตรของทางร้านที่ปรุงรสแบบบ้านๆ 1 จาน กินได้ 3-4 คน ราคาจานละ 119 บาท

"ยำเมี่ยงตะไคร้" ออร์เดิร์ฟของทางร้าน กินคู่กับใบชะพลู โดยยำจะมีตะไคร้ซอยฝอย กุ้งแห้งคั่ว หมูแผ่นทอด หมูหยอง ถั่วลิสงคั่ว และเพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยพริกขี้หนูสวนซอย ยำรวม กันปรุงรสด้วยน้ำมะนาวแท้ น้ำตาลและเกลือเล็กน้อย กินคู่กับใบชะพลู 1 ชุด กินได้ 4-5 คน ราคาชุดละ 99 บาท

ออส่วนหอยนางรมกระทะร้อน ทางร้านเน้นแป้งทอดออส่วนที่กรอบนอกนุ่มใน โดยส่วนผสมของแป้งทางร้านปรุงขึ้นมาเอง ทำให้รสชาติกลมกล่อม กินคู่กับซอสพริก 1 กระทะกินได้ 2-3 คน ราคา 129 บาท

"ต้มซูเปอร์ขาไก่หม้อไฟ" เป็นเมนูรส ชาติจัดจ้านจี๊ดจ๊าดอีกเมนูหนึ่ง ที่ต้มขาไก่ ข้อไก่จนเปื่อยลˆอน ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา พริกขี้หนูสวนบุบ เสิร์ฟหม้อไฟร้อนๆ เพิ่มความอร่อยให้กับเมนูนี้ยิ่งขึ้น 1 หม้อ กินได้ 4-5 คน ราคาหม้อละ 159 บาท

นอกจากนี้ ทางร้านยังมีอาหารให้ได้เลือกกินอีกมาก เช่น ส้มตำปูม้า เนื้อปลากะพงทอดกรอบผัดเผ็ด ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ ปลาช่อนผัดเขียวหวาน ฯลฯ

คุณภาสกร เผยถึงเคล็ดลับความอร่อยของอาหารที่ร้าน ว่านอกจากความสดใหม่ของอาหารและสูตรอาหารที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้านแล้วความใส่ใจในผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ อย่างเช่น น้ำมันที่ใช้ในการทอดปลาหรือทอดเนื้ออื่นๆ จะแยกอย่างชัดเจนที่สำคัญใช้น้ำมันไม่เกิน 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพของลูกค้าและได้ความสดใหม่ของอาหารที่ร้านด้วย

ร้านเปิดให้บริการจันทร์-อาทิตย์ และปิดทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน ตั้งแต่ 11.00-24.00 น. สอบถามเส้นทางได้ที่ โทร. 08-5162-9669



Credit : http://www.khaosod.co.th/

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

มังงะ รอยยิ้มเหนือคลื่นสึนามิ













เป็นที่รู้กันดีว่า มังงะ หรือการ์ตูนญี่ปุ่น คือหนึ่งในผลผลิตทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวอาทิตย์อุทัย จึงไม่น่าแปลกใจว่า เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่กับญี่ปุ่น น่าชื่นชมที่มีนักเขียนการ์ตูนมังงะมากมายที่ร่วมกันให้กำลังใจคนในชาติตน ที่มีชื่อเสียงคุ้นหูบ้านเรา ก็อย่างเช่น นาโอกิ อุราซาว่า คนเขียนเรื่อง 20th Century Boys หรืออย่าง โทริยาม่า อากิระ ที่ลงทุนเขียนการ์ตูนดรากอนบอล และหนูน้อยอาราเล่พร้อมส่งข้อความให้กำลังใจ แถมยังมีเหล่านักเขียนมังงะจากนิตยสารนากาโยชิ ที่เป็นนิตยสารผู้หญิงรายเดือน ก็กำลังวางแผนรวมกลุ่มกันเขียนการ์ตูน เพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่

แต่ที่ฮือฮากันมากก็คืองานของอาจารย์ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ ผู้เขียนมังงะ "สแลมดังก์" และ "วากาบอนด์" อันโด่งดัง (ขอทายว่า ทั้งสองเล่มนี้ต้องเป็นหนึ่งในการ์ตูนในดวงใจของใครหลายคน) ที่ลงมือรังสรรค์งานศิลป์ เพื่อให้กำลังใจ และอธิษฐานให้คนญี่ปุ่นด้วยการวาดภาพชุดที่มีชื่อว่า "รอยยิ้ม" (The Smile)

อิโนอุเอะใช้เวลามากกว่า 6 ชั่วโมงในการวาดภาพชุดเหล่านี้ผ่านแอปพลิเคชั่นในไอโฟนที่มีชื่อว่า Zen Brush แล้วโพสต์งานตัวเองลงบนทวิตเตอร์ของตน (@inouetake) ซึ่งดูแต่ละรูปแล้ว เชื่อแน่ว่าคนดูรูปภาพต้องน้ำตารื้นไปกับรอยยิ้มของเด็กน้อย คนแก่ และน้องหมาในงานของเขาอย่างแน่นอน ที่น่าสนใจคือเสื้อที่เด็กใส่แต่ละคนมีชื่อเป็นเมืองที่ได้รับภัยพิบัติ อย่างเช่น Miyagi, Nagano และ Fukushima เป็นต้น ยิ่งพอนำภาพมารวมกันในยูทูบแล้วเปิดดนตรีความหมายดี ๆ ฟังแล้วก็ยิ่งขนลุกทวีคูณ (www.youtube.com/ watch?v=8QvYdG18jJM&feature=player_embedded) แว่วมาว่า อาจารย์จะทำเป็นโปสต์การ์ดระดมทุน เพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติ หลายคนคงอยากอุดหนุนอย่างแน่นอน

ส่วนใครที่มีฝีมือในการวาดการ์ตูนแล้วอยากจะวาดการ์ตูนให้กำลังใจชาวญี่ปุ่นบ้าง สามารถเอาผลงานไปโพสต์ได้ที่ http://seiga.nicovideo.jp/ แต่เต็มไปด้วยภาษาญี่ปุ่นไปหมด ลองแกะๆ ภาษากันดู คงไม่ยากสำหรับพวกเราอยู่แล้ว

Pray For Japan...