วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มะรุม'อาหารก็ได้ สมุนไพรก็ดี

มะรุมพืชผักสวนครัว หาทานง่าย ประกอบอาหารก็ได้ เป็นยาสมุนไพรก็ดี ประโยชน์มากมายอย่างนี้ วันนี้คุณทานมะรุมแล้วหรือยัง?

"มะรุม" ผักสวนครัวพื้นบ้านของไทย เป็นไม้ยืนต้นที่โตเร็ว ทนแล้ง ปลูกง่ายในเขตร้อน ใบมีรสหวานมัน ออกดอกในฤดูหนาวเป็นส่วนใหญ่ ดอกเป็นดอกช่อ สีขาว กลีบเรียง มี 5 กลีบ ผลเป็นฝักยาว เปลือกสีเขียว มีขนาดประมาณ 20 - 50 ซม. มีรสหวาน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศแถบเอเชียใต้ ปลูกง่าย เจริญได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นในปริมาณปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำกิ่ง งอกเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ ต้นกล้าสูงประมาณ 10-20 เซนติเมตร

"มะรุม" มีประโยชน์เอนกประสงค์ ทั้งทางด้านอาหารและยา เราสามารถทานได้ทั้งยอดมะรุมตรงที่เป็นใบอ่อน, ช่อดอก หรือฝักอ่อน โดยนำมาต้มหรือลวกให้สุกจิ้มกับน้ำพริกได้หลากหลายชนิดหรือจะใช้ยอดอ่อนและฝักมะรุมมาทำแกงส้ม ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน โดยใบมีคุณค่าทางอาหารสูงมากทั้งวิตามินเอ, ซี, ธาตุเหล็กและแคลเซียม ดอกสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและป้องกันมะเร็ง ฝักก็ให้พลังงานสูงทั้งยังมีเส้นใย และคุณค่าทางอาหารอื่น ๆ ส่วนเมล็ดก็สามารถนำไปคั้นเป็นน้ำมันมาประกอบอาหารได้ นอกจากนั้นยังเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, รักษาโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งป้องกันโรคมะเร็ง และว่ากันว่ามะรุมสามารถช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ แต่ประโยชน์ในข้อนี้ยังไม่มีคำยืนยันทางการแพทย์







Credit : http://www.dailynews.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สนุก สนาน ทุ่งแสงตะวัน ของกินเล่นจากธรรมชาติ 'ซิซาหน้าฝน'

สดจากเยาวชน
สุตาภัทร หมั่นดี



ธรรมชาติ ก่อเกิดสิ่งมีชีวิต ป่าไม้ ต้น น้ำลำธาร เป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของทั้งมนุษย์และสัตว์น้อยใหญ่ที่ต่างพึ่งพาหาอยู่หากินกับป่า หลายสิ่งหลายอย่างที่ล้วนได้จากธรรมชาติจึงเปรียบเสมือนของขวัญล้ำค่า

ช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูกาลของซิซา เด็กๆ บ้านเขาเหล็ก ต.เขาโจด อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจน บุรี จึงคึกคักกันเป็นพิเศษ ตื่นแต่เช้า เก็บ "ซิซา" ของกินเล่นแสนอร่อยในฤดูฝนชุ่มฉ่ำของเด็กๆ ที่นี่



ซิซา เป็นภาษากะเหรี่ยง รู้จักกันในชื่อ "ลูกก่อ" หรือ "เกาลัด" เป็นพรรณไม้ชนิดหนึ่ง ประเภทไม้เนื้อแข็ง เป็นไม้ยืนต้น พบทั่วไปบนภูเขาทางภาคเหนือ และพบเป็น กลุ่มๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ผลอร่อยรับประทานได้ บางชนิดเป็นอาหารของสัตว์ เช่น หมูป่า 

"ก่อ" มีหลายชนิดพันธุ์ พบแตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศ ก่อ หรือซิซาที่เด็กๆ ไปเก็บ เป็นชนิด "ก่อหนาม" ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอ่อน ผลรูปร่างกลม ห่อหุ้มอีกทีด้วยเปลือกสีเขียวที่เต็มไปด้วยหนามแหลมเล็กๆ โดยรอบ เมื่อแก่จัดจะปริแยกออก ในขณะเดียวกันก็จะหลุดออกจากขั้วผลร่วงลงกระทบพื้น ภายในเปลือกสีเขียวหนามแหลมมีซิซาประมาณ 1-3 เมล็ด



ช่วงฤดูฝนจะเก็บซิซาได้โดยง่าย เพราะมันจะแตกร่วงลงมาจากเปลือกหนามที่ห่อหุ้ม ไม่ต้องแกะ งัดให้เจ็บมือ

บริเวณโดยรอบต้นก่อ ยังมีต้นไม้อื่นขึ้นอยู่ทั่วไป มีไม้ยืนต้นจำพวก มะม่วง ลิ้นจี่ ต้นกระวาน พืชจำพวกหญ้า ขึ้นกระจัดกระจาย นอกจากนั้นยังมีเห็ดน้ำหมาก เห็ดระโงก งอกใต้ต้นซิซา เห็ดชนิดไหนกินได้ หรือกินไม่ได้ เด็กๆ มีวิธีสังเกตแบบง่ายๆ

ด.ช.ชัยยง แตงกระโทก หรือ น้องบาส บอกว่า "ต้องดูว่ามีร่องรอยหนอนกินมั้ยครับ ถ้ามีแสดงว่าปลอดภัย ไม่เมาแน่นอน หนอนกินได้ เราก็กินได้" พูดพลางน้องบาสก็เก็บเห็ดใส่ตะกร้ากลับบ้านด้วย

ด.ช.วนสัณฑ์ มาณะดี หรือ น้องแน็ก อธิบายเพิ่มเติมว่า "ซิซานี้ยังเป็นอาหารของกระรอกด้วยครับ มันจะชอบมากิน หลายๆ ลูกจะเห็นเป็นรอยกัดแทะ แสดงว่ากระรอกมากินครับ แบ่งกันกินคนด้วยกระรอกด้วย ที่อีกต้นมีรอยหมูป่ามาคุ้ยด้วยครับ"

เห็นได้ว่าป่า ธรรมชาติบ้านเขาเหล็กยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก เช่นนี้เองเด็กๆ และชาวบ้านจึงยังคงหาอยู่หากินกับป่า มีธรรมชาติเกื้อกูล สะท้อนความสัมพันธ์ การพึ่งพาระหว่างคน สัตว์ และป่า ตลอดจนเชื่อมโยงไปถึงการดูแลรักษาให้คงอยู่และยั่งยืน

ซิซาชนิดนี้กินสดได้โดยไม่ต้องคั่วให้สุก จืดๆ มันๆ เด็กๆ บอกว่าก็อร่อยไปอีกแบบ จึงสนุกกับการเก็บไปพลางกินไปพลาง แต่ถ้าจะกินให้อร่อยถูกใจต้องนำมาคั่ว เนื้อในของเมล็ดเป็นแป้ง สุกแล้วจึงหวานมันและกรอบอร่อยไม่แพ้เกาลัดเยาวราช

น้องแน็ก บอกว่า "ซิซาลูกเล็กคั่วง่าย สุกง่าย รสชาติหวานแต่แข็ง ส่วนลูกใหญ่สุกยาก รสชาติมันแต่จืดครับ"

น้องบาสแอบกระซิบว่า "ผมชอบกินลูกเล็กครับ มันสุกง่าย ได้กินเร็วด้วย"

เวลาแกะเปลือกเด็กๆ ใช้วิธีทุบด้วยมือขณะที่กำลังอุ่นๆ เพราะจะแตกออกง่าย ต้องค่อยๆ แกะ ค่อยๆ กิน ซิซาอุ่นๆ อร่อย มัน



ตามเด็กบ้านเขาเหล็กไปเก็บซิซา ของกินเล่นจากธรรมชาติ และความสนุก สนาน ทุ่งแสงตะวันเก็บภาพมาฝาก ตอน ซิซาหน้าฝน เสาร์นี้ 28 พ.ค. ช่อง 3 เวลา 06.25 น. www.payai.com


**----***
Credit : http://www.khaosod.co.th

ลำพู 3 ปากอ่าวตาปี ซิงๆจากทะเล

สวรรค์ในครัว
เขียง มะขาม



ยังวนเวียนอยู่ในสุราษฎร์อีกอาทิตย์หนึ่งครับ

หนที่แล้วมื้อเที่ยงพาไปกิน 'ข้าวแกงป้าเขียว' รสมือรสชาติแบบคนใต้มาแล้ว

มื้อนี้อุตส่าห์มาถึงเมืองชายทะเลแล้วไม่ไปลองอาหารทะเลก็เสียเที่ยว

ลงจากศาลกันคณะเบ้อเริ่มช่วงบ่ายๆ มองหน้ากันไปกันมา เพราะกว่าเครื่องบิน จะออกก็ค่ำ ตกลงใจให้เจ้าถิ่นเป็นคนเลือกว่าจะพาไปไหน

เขาก็จับยัดๆ กันใส่รถแล้วพาออกจากเมือง มุ่งหน้าไปเส้นปากอ่าว ไปจนถึงสุดทางแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปหาแม่น้ำ หรือถ้าไปไม่ถูก ถามเขาว่าซอยปากน้ำ 18 ไปทางไหนแล้วก็วิ่งไปตามคำบอก

หรือไม่อย่างนั้นโทรศัพท์ถามที่ 0-7728-6995

แถวนั้นเรียงรายกันอยู่หลายร้าน แต่เจ้าถิ่นพาเรามาถึงสุดทาง ชื่อร้าน 'ลำพู 3' ร้านริมน้ำ มองไปข้างหน้าถ้าไม่มีเรือบังจะเห็นปากอ่าวชัด

ตอนไปถึงฝนตั้งเค้าปรอยๆ สักพักก็ตกมาเป็นเม็ดใหญ่ แล้วเดี๋ยวเดียวก็หยุด จากนั้นลมแม่น้ำเย็นๆ ก็พัดกระหน่ำใส่ตลอด บรรยากาศชวนกินข้าวเป็นยิ่งนัก

อย่าช้า-สั่งเลย

อย่างแรกที่มาคือ ยำไข่แมงดา ยำมาได้เผ็ดร้อนกำลังดี ไข่แมงดาสดมันเป็นอันมาก

เป็นเหตุให้ตบะแตกกันเป็นแถว ว่าจะไม่สั่งน้ำมังสวิรัติมาประกอบรายการแล้วเชียว-พลาดอีกจนได้ (ฮา)

เดี๋ยวเดียว หมึกย่าง ตามมา หมึกหอมหั่น มาชิ้นกำลังดี ไม่หนาเกินจนเคี้ยวไม่ไหว ไม่ย่างนานจนเหนียว สดหวาน

ไล่กันมี แกงเหลืองปลากระบอก เผ็ดร้อนตามแบบฉบับคนใต้ เอาไว้กินเรียกเหงื่อเรียกน้ำย่อย

มาวางติดๆ กันคือ ทอดมันปลากราย หนึบเนื้อปลา เครื่องแกงก็รสดี

ต่อด้วย ห่อหมก ที่เจ้าถิ่นบอกว่าเป็นของ ขึ้นชื่อประจำร้าน ชิมแล้วอร่อยตามคำร่ำลือ เพราะเครื่องแกงถึง แต่ติดตรงหวานไปหน่อยตามแบบฉบับอาหารสมัยใหม่

และแล้ว กุ้งแม่น้ำเผา ก็มาถึง ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง คน ที่ยังไม่กินข้าวก็เรียกหาข้าว เอาคลุกกับมันหัวกุ้ง

โป๊ะแตก ยกมาเป็นหม้อหยวนโล้ เลยบอกให้น้องเขาช่วยกลับไปตักแจกเป็นถ้วยเล็ก ซดน้ำต้มยำชื่นใจ

ทีเด็ดคือจานต่อมา ปลากุเลาเผา ทั้งตัว เนื้อปลาสด หอมถ่านหอมใบตอง แถมเผามาไม่สุกเกิน ข้างในยังหวานฉ่ำ

และกลัวจะไม่อิ่มกันจริง มีการสั่ง กรรเชียงปูนึ่ง มาตบท้ายอีก ทีแรกนั้นจะสั่งปูม้า แต่น้องเขาบอกซื่อๆ ว่า ปูของใหม่ยังไม่มาส่ง ของเก่าไม่สดไม่อยากขาย

ได้ใจไปเต็มๆ เลยน้อง

ทั้งหมดที่จาระไนมานั้น สั่งกันมาอย่างละ 2 ชุด ผู้ชายตัวโตๆ 11 คนรุมกินโตŠะกันแล้วก็ยังไม่หมด ต้องมีห่อกลับ

คิดค่าเสียหายออกมา รวมน้ำอย่างว่าอีก 7-8 ขวดแล้วยังไม่ถึง 5 พัน

ชาวกรุงหลายคนก็อาฆาตว่า หนหน้าจะมาล้างแค้นอีกรอบ (ฮา)
**
**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

เมนูนี้ต้องเผ็ดนำเผ็ดร้อนนิดๆ ด้วยส่วนผสมเครื่องผัด ผัดกะเพราไก่

จานเด็ด 77 จังหวัด


ผัดกะเพราไก่ ฟังดูอาจเป็นเมนูง่ายๆ แต่จะทำให้อร่อยติดใจก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป

เสถียร ท้วมจันทร์ ข่าวสดสุพรรณบุรี พาไปชิม ผัดกะเพราไก่บ้าน ของร้านข้าวแกง สระยายโสม เปิดตัวไปแล้วถึง 3 สาขา

สาขาแรกที่ตำบลสระยายโสม อำเภออู่ทอง สาขา 2 อยู่ที่อำเภอเมือง เมืองสุพรรณบุรี และสาขา 3 อยู่ที่อำเภอศรีประจันต์

ผัดกะเพราไก่บ้านร้านสระยายโสม เป็นไก่บ้านเพศเมีย มีเนื้อนุ่มปนเหนียว



วิธีทำให้หั่นเนื้อไก่และเครื่องในสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ แต่อย่าให้ถึงกับละเอียดแค่เป็นชิ้นเล็กๆ และไม่มีกระดูกเท่านั้นพอ จากนั้นล้างน้ำให้สะอาดพักไว้ก่อนแล้วเตรียมเครื่องผัด

ต้องมีกระเทียมไทยแท้ๆ ใบกะเพราใบเล็ก เรียกกะเพราบ้าน กลิ่นแรงมีความหอมปนความเผ็ดเล็กๆ พริกไทย ใช้แบบธรรมดาไม่เอาพริกไทยดำ ส่วนพริกใช้พริกขี้หนูสวนหรือพริกขี้หนูจินดา ชนิดอื่นอย่าใช้และใช้เฉพาะเมล็ดสีเขียวเท่านั้น

จากนั้นโขลกพริกไทย กระเทียม และพริกจนเกือบละเอียดแล้วใส่กระทะที่ตั้งไฟไว้พอหอม ใส่น้ำมันพืชนิดๆ เพราะที่ไก่จะมีน้ำมันออกมาอีก

ใส่เนื้อไก่และเครื่องในไก่ลงไป จากนั้นเติมซอสปรุงรส น้ำมันหอย ซีอิ๊ว น้ำปลา หรือใครชอบหวานก็ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อย เมื่อปรุงรสจนได้ที่ แต่ต้องเคี่ยวไฟปานกลางไปเรื่อยๆ จนเนื้อไก่กับส่วนผสมเข้าเนื้อ อย่าใช้ไฟแรงหรือไฟอ่อนเกินไป

เมนูนี้ต้องเผ็ดนำ หวาน นุ่มเหนียวเนื้อไก่ และมันๆ กรุบๆ ที่เครื่องในมีความหอมกะเพรา เผ็ดร้อนนิดๆ ด้วยส่วนผสมเครื่องผัด

กินกับไข่ต้มยางมะตูมหรือไข่พะโล้ รสชาติอร่อยลงตัว
**
**
Credit : http://www.khaosod.co.th

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สบู่ดำ พืชน้ำมันเพื่อพลังงานในอนาคต ใช้ทดแทนน้ำมันดีเซล

สบู่ดำ พืชน้ำมันเพื่อพลังงานในอนาคต ใช้ทดแทนน้ำมันดีเซล ทั้งยังสามารถใช้เป็นสมุนไพรได้ด้วย มีทั้งประโยชน์และโทษอยากรู้ต้องอ่าน

สบู่ดำ เป็นไม้พุ่มยืนต้นชนิดหนึ่ง ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีความสูงตั้งแต่ 2-7 เมตร เป็นไม้ตระกูลเดียวกับยางพาราและมันสำปะหลัง ลำต้นมียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม มีกลิ่นเหม็นเขียว ดอกมีสีเหลือง เป็นช่อกระจุก มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลและเมล็ดมีสีเขียวอ่อนเกลี้ยงเกลา เป็นช่อพวงมีหลายผล เวลาสุกแก่จัดมีสีเหลืองคล้ายลูกจันทร์ รูปผลมีลักษณะทรงกลมขนาดปานกลาง เปลือกหนาปานกลาง ผลหนึ่งส่วนมากมี 3 พู โดยแต่ละพูทำหน้าที่ห่อหุ้มเมล็ดไว้ เมล็ดมีสีดำ ความยาวประมาณ 1.7-1.9 ซม. หนา 0.8-0.9 ซม. เป็นพืชที่ทนและปรับตัวเข้ากับสภาพแห้งแล้งได้ดี จึงทำให้เจริญได้ดีในแถบเขตร้อน ขยายพันธุ์ได้หลายวิธีทั้งเพาะเมล็ด ปักชำ และเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แต่ใช้น้ำในการเพาะปลูกมากกว่าพืชอย่างอ้อยหรือข้าวโพดถึง 5 เท่า

สบู่ดำ จัดเป็นพืชน้ำมันชนิดหนึ่ง ที่มาจากทวีปอเมริกาใต้ โดยชาวโปรตุเกสนำเข้ามา ในศตวรรษที่ 18 ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา แรกเริ่มใช้เมล็ดไปคั้นสำหรับทำสบู่ หลังจากนั้นได้มีการปลูกกันแพร่หลายในทุกภาคของประเทศ สาเหตุที่เรียกว่าต้นสบู่ เพราะมีน้ำยางสีขาวคล้ายสบู่บริเวณลำต้นและกิ่ง

ปัจจุบันมีการสกัดน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำเพื่อนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซล ใช้ทดแทนน้ำมันดีเซล โดยคาดว่าในอนาคตจะมีการใช้ไบโอดีเซลจากน้ำมันสบู่ดำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคได้หลากหลาย เช่น ใช้น้ำยางใสทารักษาโรคปากนกกระจอก หรือแผลในปาก แก้อาการปวดฟันก็ได้ หรือผสมกับน้ำใช้เป็นยาระบาย ส่วนลำต้นนำมาสับเป็นท่อน ๆ แช่ในน้ำแล้วอาบ รักษาอาการคัน ดอกสามารถใช้เลี้ยงผึ้งเพื่อผลิตน้ำผึ้ง แต่ผลและเมล็ดของมันก็มีสารพิษเช่นกัน เรียกว่า Curcin เมื่อทานเข้าไปจะทำให้มีอาการท้องเดินและเมา มีผลต่อระบบทางเดินอาหารและการหายใจ


**
**
Credit : http://www.dailynews.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ"ลูกศร" หน้าอ่อนกว่าวัย


บริษัท เฟรชอัพ บิวตี้ จำกัด จัดงานเปิดตัวเครื่องสำอางเฟชอัพ พร้อมแนะนำแบรนด์แอม บาสซาเดอร์คนใหม่ล่าสุด ลูกศร-ธนา ภรณ์ รัตนเสน อดีตนางเอกยอดนิยม ซึ่งปัจจุบันมีครอบครัวและลูก 4 คนแล้ว แต่หน้ายังดูเด็กและอ่อนเยาว์อยู่เสมอ งานเปิดตัวจัดขึ้นที่ห้องบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

ลูกศร ธนาภรณ์ อดีตนางเอกยอดนิยมกล่าวว่า ตอนนี้มีลูก 4 คนแล้ว มีคนมาถามว่าทำไมหน้าถึงยังดูเด็กอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ ลูกศรไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมากมาย มีหลักอยู่ 7 ข้อด้วยกัน ใครที่ไม่อยากแก่จะนำเอาไปลองใช้ดูก็ได้ และทุกคนสามารถทำกันได้ที่บ้าน

เริ่มที่ 1.ทำแต่กิจกรรมที่เป็นสิ่งดีมีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของให้โทษต่างๆ บางคนอาจจะโทษกรรมพันธุ์ว่าทำให้เราเป็นแบบนี้ แต่จากการวิจัยในต่างประเทศบอกว่าพันธุกรรมมีบท บาทกับรูปลักษณ์ของเราเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น



ถ้าไม่อยากแก่ ดูเป็นเด็กเสมอต้องเลือกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกาย สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต้องห่างไกล หรือหาทางหลีกเลี่ยง เช่น ไม่ดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม ไม่สูบบุหรี่

2.จิตใจแจ่มใส เรื่องจิตใจละเอียดอ่อนกว่าที่เราคิดมากนัก เมื่อมีอะไรมากระทบจะส่งผลต่อร่างกายทันที จึงควรทำจิตใจให้สดใส หาเวลาพักผ่อนด้วยกิจกรรมที่ชื่นชอบเป็นประจำ เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือธรรมะ จะช่วยให้จิตใจอ่อนโยนดูอ่อนเยาว์ได้เช่นกัน

3.ออกกำลังกายเป็นประจำ จากการศึกษาของหลายมหาวิทยาลัยพบว่า การออกกำลังทำให้ร่างกายหลั่งสารซึ่งช่วยลดอาการเครียด ซึมเศร้า และความเหนื่อยได้

4.ออกไปรับแสงอาทิตย์ เพราะในแสงแดดมีวิตามินดี ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยในเรื่องแคลเซียม ป้องกันโรคภัยต่างๆ วิตามินดีนอกจากมีในแสงแดดแล้ว ยังมีในไข่ ปลา นมต่างๆ การรับแสงแดดวันละประมาณ 20 นาที จะทำให้ร่างกายสดชื่น เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

5.หันมาดูแลตัวเอง มีกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่มีประโยชน์หลายอย่าง ลองคิดดูว่าเราชอบทำกิจกรรมอะไรบ้าง เช่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ไปพิพิธภัณฑ์ วาดรูป ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้ชีวิตทันสมัย ไม่น่าเบื่อ แต่ถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยจะทำให้เรารู้สึกแก่ตามวัยที่เปลี่ยนไป

6.ต้องหัดกินผักและผลไม้เสมอ เพราะในผักมีสารสำคัญชื่อว่าโฟเลต หลายคนอาจคิดว่าจำเป็นเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ถ้าร่างกายได้รับโฟเลตไม่เพียงพอจะมีผลต่อความเครียดและการเสื่อมของผิวพรรณ โฟเลตจะอยู่ในผักสีเขียว เราลองมาหัดดื่มน้ำผักและกินถั่วกันให้มากๆ นอกจากจะช่วยลดความ เครียด ทำให้ดูไม่แก่แล้ว ยังช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร ขับถ่าย และเรื่องความจำดีอีกด้วย

7.หาข้อดีของตัวเองในทุกๆ ปีที่ผ่านไป หลายคนคิดว่าแก่แล้วไม่มีอะไรดีเลย จึงไม่อยากแก่ แก่แล้วเครียด ฯลฯ ความคิดเหล่านี้จะบั่นทอนความรู้สึกมากกว่าปัจจัยอื่นๆ ทำให้เราดูแก่ตามไปด้วย ลองมองหาข้อดีของการมีอายุที่มากขึ้น เช่น ได้มีโอกาสศึกษาธรรมะซึ่งมีประโยชน์ลึกซึ้ง เมื่ออายุมากขึ้นทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น ฯลฯ เมื่อคิดถึงแต่ข้อดีในการมีอายุเพิ่มขึ้น จะทำให้เราดูไม่แก่ สดใสอยู่เสมอ

"นี่แหละเคล็ดลับของลูกศร สำหรับผู้สนใจเครื่องสำอางเฟชอัพ โทรศัพท์มาสอบถามได้ที่ 1577 หรือที่ 0-2290-0999 แต่ถ้าต้องการพูดคุยกับลูกศรเข้าไปได้ที่ www.facebook.com/smartlife ได้ตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ" ลูกศรกล่าวทิ้งท้าย

**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

ทำไมไม่มีแมวในนักษัตร

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ถึง น้าชาติ ปีนักษัตรมีที่มาอย่างไรคะ แล้วทำไมไม่มีปีแมว

จาก น้องคิตตี้

ตอบ น้องคิตตี้

คำว่า "นักษัตร" หมายถึง ชื่อรอบเวลากำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ โดยกำหนดสัตว์ 12 ชนิด เป็นเครื่องหมายในแต่ละปี เริ่มจากปีชวด-หนู ฉลู-วัว ขาล-เสือ เถาะ-กระต่าย มะโรง-งูใหญ่ (จีนคือมังกร) มะเส็ง-งูเล็ก มะเมีย-ม้า มะแม-แพะ วอก-ลิง ระกา-ไก่ จอ-สุนัข และ กุน-หมู

ส่วนประวัติตำนานการใช้สัตว์เป็นชื่อปีเป็นเรื่องที่หาหลักฐานได้ยาก แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละชนชาติ

ตำนานของชาวไทยลื้อเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพรหมถูกตัดเศียร ลูกสาวทั้ง 12 นางของพระพรหมซึ่งก็ คือนางสงกรานต์มีหน้าที่เชิญพานที่รองรับเศียรพระพรหมออกแห่ในวันสงกรานต์ทุกปี โดยผลัดกันปีละนาง นางเหล่านี้มีพาหนะต่างกัน นางหนึ่งขี่หนู นางหนึ่งขี่วัว นางหนึ่งขี่เสือ ขี่กระต่าย ขี่พญา นาค ขี่งู ขี่ม้า ขี่แพะ ขี่ลิง ขี่ไก่ ขี่สุนัข ขี่หมู ไปตามลำดับ ตามตำนานกล่าวว่าชาวไทยลื้อได้เอาพาหนะที่นางทั้งสิบสองขี่นี่แหละมาใช้เรียกชื่อปี

บางตำนานเล่าว่า ตำนานแห่งปีนักษัตรเริ่มต้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงเชิญสัตว์ต่างๆ มาร่วมงานเลี้ยงก่อนที่พระองค์จะละสังขารไปจากโลกนี้ และหากสัตว์ใดมาถึงงานเลี้ยงได้ 12 ตัวแรก จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสัญลักษณ์ของปีนักษัตรทั้ง 12 ปี

ปรากฏว่าสัตว์ทั้งหลายต่างเร่งฝีเท้ากันอย่างเต็มที่เพราะต้องการไปให้ถึงงานเลี้ยงเป็นตัวแรก เพื่อจะได้รับเกียรติเป็นสัญลักษณ์ของปีเริ่มต้นของปีนักษัตร ในบรรดาสัตว์มากมายนั้นมีเจ้าหนูตัวกระจ้อยร่อยรวมอยู่ด้วย ถึงแม้มันจะเป็นเพียงสัตว์เล็กๆ แต่มันก็ใฝ่ฝันทะเยอทะยาน เจ้าหนูกระโดดเกาะหางวัวใหญ่ที่กำลังวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าผ่านหน้ามันไป และแซงหน้าสัตว์อื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งใกล้ถึงเส้นชัย เจ้าหนูน้อยกลับกระโดดแผล็ววิ่งไปบนหลังวัวหนุ่มและถีบตัวเองลอยละลิ่วเข้าสู่เส้นชัยเป็นตัวแรกได้สำเร็จ ท่ามกลางความงงงวยของสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

หลายคนสงสัยว่าทำไมปี นักษัตรถึงไม่มีแมว หลายตำนานพยายามอธิบายโดยรวมเอาเหตุการณ์ที่แมวเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับหนูมาโยงเป็นเรื่องราว มักเริ่มต้นที่เทพเจ้าเรียกประชุมสัตว์เพื่อตั้งเป็นชื่อปี แล้วแมวจำวันที่ประชุมไม่ได้จึงไปถามหนู หนูหลอกแมวให้ไปช้ากว่ากำหนด แมวจึงไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ชื่อปี

บางความเชื่อบอกว่า การเดินทางมาประ ชุมนั้นต้องว่ายน้ำไป แล้วแมวกับหนูเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำไม่เก่งทั้งคู่ จึงเกาะหลังวัวที่ว่ายน้ำเก่งไป เมื่อใกล้ถึงที่หมายหนูก็ผลักแมวตกน้ำ แมวถูกกระแสน้ำพัดไปจึงมาไม่ทันกำหนด นับแต่นั้นมาแมวจึงโกรธแค้นหนูมากและต้องวิ่งไล่ทุกครั้งที่เจอหนู

ฝ่ายนักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่า เป็นเพราะแมวเป็นสัตว์ในทะเลทราย ชาวจีนดั้งเดิมจึงไม่เคยเห็นและไม่รู้จักแมวมาก่อน จึงไม่ได้นำสัตว์ชนิดนี้มาตั้งเป็นชื่อปีอย่างสัตว์อื่นๆ

แต่ที่ประเทศเวียดนามใช้สัญลักษณ์รูปแมวเป็นปีเถาะ ไม่ใช่กระต่ายอย่างเรา
**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

ของเล่นจากป่า สะบ้าเณรน้อย

คอลัมน์ สดจากเยาวชน
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com

เสียงหัวเราะและเสียงเชียร์ดังลั่นวัดเขาเหล็ก เณรน้อยและเพื่อนๆ กำลังดวลเกมสะบ้า

ลูกแข็งๆ กลมๆ แบนๆ บวกความแม่นยำทำแต้มรุกและรับผลัดกันไปมา

สะบ้า ไม้เถาที่มักจะพบอยู่ตามป่าดงดิบทั่วไป เป็นไม้ใหญ่ ออกผลเป็นฝักยาว แข็งและหนา ลูกสะบ้าที่อยู่ข้างในนำมาทำเป็นของเล่นได้

การเล่นสะบ้า เป็นการละเล่นของไทยในหลายชุมชนหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เหตุที่เรียกว่า "สะบ้า" ก็เพราะนำเอาลูกสะบ้ามาเป็นเครื่องมือในการเล่น ด้วยลักษณะของลูกสะบ้าที่ธรรมชาติออกแบบให้มีเปลือกแข็ง ลักษณะกลม แบนแต่ตรงกลางนูน ล้อได้ดี จึงถูกนำเอามาเป็นการ ละเล่นที่สร้างความครึกครื้นและเสียงหัวเราะ

สำหรับชาวกะเหรี่ยงบ้านเขาเหล็ก ต.เขาโจด อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี แล้ว เป็นการเล่นยามว่างต้อนรับฤดูร้อน ฤดูกาลที่ว่างจากการทำไร่และพักผ่อน แต่สำหรับเด็กๆ แล้วอยากจะเล่นเมื่อไหร่ก็นัดกันมา ของเล่นจากธรรมชาติใกล้บ้านจะเล่นเมื่อไหร่ก็ย่อมได้

ความสดใส ความสนุกสนาน สิ่งนี้มาคู่กับเด็กๆ สามเณรก็อยู่ในวัยเด็ก แม้จะมีกิจทางสงฆ์ แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลาการเล่นเพลิดเพลินก็ย่อมต้องการไม่แตกต่างจากเด็กคนอื่น

ลานวัดเขาเหล็ก จึงเป็นลานแห่งความสุข ความสนุก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ วันไหนมีนัดเล่นสะบ้า สนามหน้ากุฏิหลวงพ่อจะถูกดัดแปลงเป็นสนามแข่งขันสะบ้าขนาดย่อม ให้สามเณรและเพื่อนๆ ได้วาดลวดลายลีลาการโยนสะบ้ากันเต็มที่

การเล่นสะบ้าของแต่ละพื้นที่อาจแตกต่างในเรื่องกติกาและวิธีการเล่น ขึ้นอยู่กับการสืบทอดและการเรียนรู้จากผู้ใหญ่

การเล่นสะบ้าในแบบฉบับของเด็กๆ บ้านเขาเหล็กเป็นอย่างไร ด.ช.สมศักดิ์ บุญมาก หรือ น้องเหล็ก อธิบายว่า "สมมติว่าเล่นเกม 20 ลูกก็ตั้ง 20 ลูกเท่าๆ กัน ลูกที่เขวี้ยง 20 ลูกที่ตั้งก็ 20 ลูก เขวี้ยงของเขาล้มหมดก็เป็นฝ่ายชนะ"

เด็กๆ แบ่งเป็น 2 ทีม มีผู้เล่น 4 คนหรือมากกว่า ตั้งฐานลูกสะบ้าของแต่ละฝ่ายระยะห่างตามตกลงกัน โดยจำนวนลูกสะบ้าที่ใช้เป็นตัวโยนและตัวตั้งจะต้องเท่ากัน ลูกสะบ้าของฝ่ายใดถูกเขวี้ยงล้มหมดก่อน จะตกเป็นฝ่ายแพ้และถูกทำโทษ ช่วงเวลานี้ดูเด็กๆ จะสนุกเป็นพิเศษ

"คนชนะมีสิทธิ์สั่งอะไรได้หมด คนแพ้ต้องทำตามคนชนะ สั่งให้ไปตักน้ำก็ต้องไป ให้มาตั้งให้ ก็ต้องทำ เมื่อกี้ผมให้เขาไปตักน้ำมาให้ครับ" สามเณรชมภู ภูผาพิพัฒน์ผล หรือ สามเณรเกียจ อธิบายฐานะผู้ชนะในเกมแรก

การเล่นสะบ้าโยนได้หลายท่า แต่ละพื้นที่อาจมีชื่อเรียกที่ต่างกัน ชาวกะเหรี่ยงที่นี่เรียกว่า "สิ" เป็นท่าที่ผู้ใหญ่ใช้แข่งขัน ต้องอาศัยความเร็ว แรงและแม่นยำ คนที่สิไม่เป็นจะใช้วิธีการโยนเช่นเดียวกับเด็กๆ สามเณรชมภูฝึกการ "สิ" ได้แล้ว และบอกว่าวิธีนี้จะทำให้ลูกออกตัวแรงและปั่นดีแถมแม่นดีด้วย

เด็กๆ เรียนรู้ทักษะความแม่นยำความสามัคคีในหมู่เพื่อนพ้อง และความมีน้ำใจได้จากการแข่งขันสะบ้า

น้องเหล็ก บอกว่า "ลูกสะบ้าที่ใช้โยนต้องแบ่งให้เท่าๆ กันครับ มี 20 ลูก เล่นกัน 4 คน ก็ต้องแบ่งเท่ากัน จะได้ไม่ต้องเอาเปรียบกันครับ"

"รู้ไหม สะบ้าเขาเก็บมาจากไหน" เด็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงภูมิใจในสิ่งที่มีในธรรมชาติบ้านของตนเองซึ่งยังคงอุดมสมบูรณ์ มีของเล่นจากธรรมชาติให้พวกเขาได้เล่นสนุกๆ

"มันอยู่ในป่าที่สมบูรณ์ครับ อยู่ในป่าลึก มีต้นไม้เยอะๆ มีลำห้วย น้ำตก ผมเคยไปเก็บแล้วมันร่วงและไหลมาตามน้ำ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ไปเก็บมาจากบนต้นครับ" น้องเหล็กอธิบาย

เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเขามีประโยชน์ เห็นคุณค่าและตระหนักในทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขาพึ่งพิง อย่างน้อยมีป่าก็มีสะบ้าเล่น ความคิดเล็กๆ เช่นนี้เองเป็นพื้นฐานนำมาสู่การดูแลรักษาป่าที่อาศัยอยู่

ความสนุกสนาน รอยยิ้มสดใสกับของเล่นจากธรรมชาติฉบับเด็กๆ บ้านเขาเหล็ก ทุ่งแสงตะวันเก็บภาพมาฝาก เสาร์นี้ช่อง 3 เวลา 06.25 น. www.payai.com

**
**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

ปลาหิมะหมักซอสเทอริยากิซาลซ่ามะม่วงสุก

เครื่องปรุง


-    ตะไคร้หั่นท่อน    1    ต้น

-    ซอสเทอริยากิ    70    กรัม

-    เนยละลายแล้ว    2    ช้อนโต๊ะ

-    ปลาหิมะ    300    กรัม

วิธีทำ
    
1. นำตะไคร้หั่นท่อนมาโขลกให้ละเอียด ใส่ซอสเทอริยากิ เนยละลาย คนให้เข้ากัน
    
2. นำปลาหิมะมาหมักในนํ้าหมักที่ได้ ประมาณ30 นาที
    
3. นำปลาหิมะที่หมักมาใส่ภาชนะสำหรับเข้าในไมโครเวฟ ปิดด้วยพลาสติกแร็พ
    
4. นำเข้าเตาอบไมโครเวฟ ประมาณ 8-10 นาที แล้วแต่ขนาดและน้ำหนักของปลา
    
5. พอสุกตักเสิร์ฟกับซาลซ่ามะม่วงสุก

เครื่องปรุงซาลซ่ามะม่วงสุก

-    มะม่วงสุก    1/4    ถ้วยตวง

-    มะเขือเทศ    1/4    ถ้วยตวง

-    หอมหัวใหญ่สับ    1/4    ถ้วยตวง

-    ผักชีสับ    1/4    ถ้วยตวง

-    กระเทียมสับ    1    ช้อนชา

-    ตะไคร้ซอย    1    ช้อนโต๊ะ

-    เกลือป่น    1/2    ช้อนชา

-    พริกขี้หนูสับ                 ตามต้องการ

-    นํ้ามะนาว                  ตามต้องการ

วิธีทำ
    
ผสมเครื่องปรุงทุกอย่างให้เข้ากันในชามผสมความรู้คู่ครัว
    
คำว่า ซาลซ่า (Salsa) เป็นภาษาสเปน แปลว่า ยำ แต่ยำของสเปนจะแตกต่างกับนํ้ายำทั่วไปของฝรั่ง ซึ่งมีนํ้ามัน แต่ซาลซ่าไม่มีีนํ้ามัน.

**
**
Credit เข้าครัวกับหมึกแดง http://www.dailynews.co.th/

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

'กิน' พิชิตเครียด

มื่อเกิดความเครียด ร่ายกายจะโหยหาอาหารรสหวาน เพื่อตอบสนองกับความเครียด แถมยังกินโดยไม่มีสติ ขาดการยับยั้งชั่งใจ



แม้ว่าน้ำตาลช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น รู้สึกดีชั่วครั้งชั่วคราว แต่ในระยะยาวเป็นผลร้ายต่อสมอง โดยทำให้สมองทำงานหนักและเริ่มผิดปกติ
 "ปกติแล้วร่างกายคนเรา จะมีกระบวนการกำจัดความเครียดที่มีประสิทธิภาพ แต่หากปล่อยให้ความเครียดสะสมเป็นเวลานาน ร่างกายจะเริ่มเสียสมดุล ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพตามมา" นพ.ภาณุวัฒน์ พุทธเจริญ แพทย์สถาบันการแพทย์ผสมผสานตรัยยา โรงพยาบาลปิยะเวท เกริ่นนำถึงภัยของความเครียด
 ความเครียดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอก วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป การให้ความสำคัญกับการทำงานมากขึ้น ขณะที่พฤติกรรมง่ายๆ ในชีวิตที่เร่งด่วนกลับถูกละเลย เช่น ทำงานจนไม่หลับไม่นอน ขาดการออกกำลังกาย ไม่ใส่ใจในรายละเอียดของอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ได้รับอาหารที่มีประโยชน์  
 "ทันทีที่ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดได้ไม่ดี ฮอร์โมนเครียดที่เกิดขึ้นทำให้กระบวนการเผาผลาญผิดปกติ อีกทั้งไปกดการทำงานของฮอร์โมนอื่นๆ เช่น ฮอร์โมนการเจริญเติบโตให้ทำงานช้าลง แก่เร็ว กดฮอร์โมนเพศซึ่งผลก็คือมีลูกยาก ตลอดจนเกิดไขมันน้ำตาลสะสมเป็นโรคอ้วนตามมา" แพทย์ตรัยยา อธิบาย
 แท้จริงแล้วความเครียดเป็นเรื่องที่จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกจิตใจ ปรับเปลี่ยนทัศนคติ มองรอบด้าน แทนที่จะปล่อยให้ความเครียดสะสมจนส่งผลกระทบต่อสมองระยะยาว เข้าขั้นต้องรับการรักษาด้วยการบำบัดจิต
 การรับประทานอาหารมีส่วนสำคัญมาก เพราะถ้าได้รับสารอาหารที่ดีจะทำให้ร่างกายต้านทานกับความเครียดได้ดีขึ้น โดยหลักแล้วอาหารที่ช่วยให้ร่างกายต้านเครียดได้ คืออาหารที่ทำให้ร่างกายมีสมดุลของฮอร์โมน และมีการเผาผลาญที่ดี
 อาหารคลายเครียด แบ่งเป็นหมวดหมู่ได้คล้ายกับอาหารหลัก 5 หมู่ เพียงแต่เน้นเป็นบางกลุ่ม โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งช่วยต้านความเครียดได้ดีที่สุด เพราะโปรตีนเป็นแหล่งของกรดอะมิโนที่จำเป็น ทำให้ร่างกายกำจัดความเครียดได้ดีขึ้น
 "ฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สารสื่อประสาทในสมองทำงานได้อย่างคงที่ แต่ถ้าร่างกายขาดโปรตีน และกรดอะมิโนที่จำเป็น สมองอาจล้าและต้านทานความเครียดได้ไม่ดีเท่าที่ควร"
 คุณหมออธิบาย และว่า แหล่งโปรตีนที่ดีต้องย่อยง่าย ดูดซึมได้เร็ว และร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที เป็นโปรตีนที่ไม่มีพิษ เช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ไม่ใช่เนื้อแดง เช่น ปลา ไก่ และไข่ เสริมด้วยโปรตีนจากพืช  เช่น เห็ด ถั่ว
 อาหารอีกกลุ่มที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยให้กระบวนการทางเคมีในร่างกายคงที่ สามารถกำจัดความเครียดได้อย่างรวดเร็วในภาวะที่ร่างกายต้องเผชิญ แร่ธาตุเหล่านี้หาได้ในผักผลไม้สด เช่น น้ำผักผลไม้ปั่นรวม 1 แก้วต่อวัน และผักผลไม้สดอีกวันนะ 1 จาน ช่วยให้ร่างกายได้วิตามินและแร่ธาตุครบถ้วนใน 1 วัน
 ส่วนหมู่รองลงมา คาร์โบไฮเดรต แป้ง ต้องได้รับในปริมาณที่เพียงพอ เพราะถ้าร่างกายก็จะขาดน้ำตาล สมองก็จะทำงานไม่ได้ ดังนั้น เวลามีความเครียดเกิดขึ้น สมองจะล้าง่าย เหนื่อยเร็ว คิดเท่าไหร่ก็ไม่ออก อย่างไรก็ตาม ร่างกายที่ได้รับน้ำตาลมากเกินไป เวลาเผชิญความเครียดอาจทำให้เกิดอาการลนลาน ตื่นเต้นง่ายกว่าปกติ
 การได้รับน้ำและไขมันอย่างเพียงพอ จะช่วยให้เซลล์ทำงานงานยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ประสาท คือ เยื่อหุ้ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไขมัน
 โดยรวมแล้วสูตรอาหารต้านเครียด จะต้องรับประทานโปรตีนไม่น้อยกว่า 30% เมื่อเทียบกับปริมาณแคลอรีที่ร่างกายควรจะได้รับในแต่ละวัน คาร์โบไฮเดรต 30-40% แร่ธาตุซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเส้นใยอาหารอีก 5% ไขมันที่ดีอีก 10-20% เช่น ไขมันจากปลา น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกพริมโรส สูตรอาหารดังกล่าวจะเห็นผล หากกินต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์
 ทั้งนี้ อาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ ควรเลือกแหล่งที่มาที่หลากหลาย อีกทั้งสดใหม่ ไม่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร ซึ่งอาจสะสมเชื้อโรค และสารพิษที่ปนเปื้อนมาด้วย
 อย่างไรก็ตาม คุณหมอมองว่า ความเครียดเป็นเรื่องของพฤติกรรม นอกจากอาหารแล้วการพักผ่อนที่เพียงพอในเวลาที่เหมาะสม การทำสมาธิ ฝึกการหายใจและออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายกายหลั่งสารเคมีที่ชื่อเอนดอร์ฟินหรือสารสุข ก็จะกำจัดความเครียดได้เร็ว
 "แม้ว่าเราจะมีเรื่องเครียดเข้ามาทุกวัน แต่ถ้ามีวิธีจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการฝึกจิตใจ ปรับเปลี่ยนทัศนคติ มองรอบด้าน กินอาหารคลายเครียด จะช่วยให้ฝ่าฟันปัญหาและกำจัดความเครียดให้หมดไปได้ไม่ยาก" นพ.ภาณุวัฒน์ กล่าว

**
โดย : จุฑารัตน์ ทิพย์นำภา http://www.bangkokbiznews.com/
โทรไทย - 1 ชั่วโมงฟรี1.5 ¢/นาทีเท่านั้น คิดค่าโทรตามจริง สั่งซื้อด้วยคูปองรหัส บ้านwww.CallMuangThai.com
ลดน้ำหนัก สำหรับ แม่บ้าน1เดือน ลด7กิโล ไม่โยโย่(ส่งอเมริกา) ลดทั้ง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพกfatbehealth.com/FreeU.S.shipping