วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

MORGANรถทรงคลาสสิค


บริษัท คุณค่า คอร์ปอเรชั่น นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อ 'มอร์แกน' รถโฉมคลาสสิค แบบฉบับสุภาพบุรุษอังกฤษ เปิดตัวให้จับจองอย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมเทงบ 200 ล้านบาท สร้างโชว์รูมและศูนย์บริการบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่

นายพิสิทธ์ คุณานันทกุล ประธานบริษัท คุณค่าฯ กล่าวถึงการนำเข้ารถยนต์มอร์แกนว่า จุดเริ่มมาจากความชอบส่วนตัว และพัฒนาต่อยอดความคิดและความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ เชื่อว่ามีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ชื่นชอบรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ อย่างรถมอร์แกน โรงงานจะบันทึกข้อมูลตลอดทั้งกระบวนการผลิตและรวบรวมข้อมูลดังกล่าวส่งให้แก่ลูกค้า ส่วนโชว์รูมจะเนรมิตให้เป็นเหมือนกับพิพิธภัณฑ์เล่าถึงประวัติความเป็นมาของแบรนด์อายุกว่า 100 ปี

สำหรับ "มอร์แกน" ที่นำมาเปิดตัวในประเทศไทยมีตั้งแต่รุ่นเครื่องยนต์ 1600 ซีซี จนถึง 3000 ซีซี วี6 ราคา 4,200,000-6,550,000 ที่พิเศษสุดๆ คือ ลูกค้าสามารถสั่งผลิตรถมอร์แกนให้ตรงใจ โดยสามารถเลือกสี ที่มีให้เลือกถึง 40,000 เฉดสี เบาะหนังกว่า 100 สี และหน้าปัด 24 เฉดสี

***
Credit : http://www.khaosod.co.th

น้ำมันเครื่องใหมˆ'เพาวซาร์'บุกตลาดไทย


บริษัท น้ำมันปิโตรเลียมไทย จำกัด เปิดตัว'เพาวซาร์'(PULZAR) ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นตัวใหม่ล่าสุด โชว์สุดยอดนวัตกรรมใหม่ สูตร MRT เพิ่มพลังปกป้องต่อเนื่องยาวนาน ตั้งเป้ายอดขายปีแรกพันล้านบาท ทดแทนแบรนด์ดัง'เพนน์ซอยล์' (Pennzoil) ที่เลิกทำตลาดนอกอเมริกา

นายสมภพ ติงธนาธิกุล กก.ผจก.น้ำมันปิโตรเลียมไทย กล่าวว่าการเปิดตัว 'เพาวซาร์' ในครั้งนี้ เรามั่นใจว่าเรามีความพร้อมทั้งด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกามาช่วยพัฒนาสูตร และมีความพร้อมด้านช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนร้านค้ากว่า 1,300 รายทั่วประเทศ

"เราเคยผลิตและจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นเพนน์ซอยล์ จนประสบความสำเร็จ แต่ต่อมาบริษัท Pennzoil Quake-State มุ่งเน้นการทำตลาดเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือจึงได้ยกเลิกสิทธิ์ในประเทศต่างๆ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย จึงทำให้บริษัทคิดค้นวิจัยผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบรนด์เพาวซ่าร์ ขึ้นมาแทน"

นายวิสุทธิ์ รัตนไพฑูรย์ ผู้จัดการส่วนการตลาด กล่าวว่า จะจัดจำหน่ายในประเทศไทยก่อนใน 3 ปีแรก เพื่อสร้างฐานที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทเตรียมงบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการตลาด ส่งเสริมการขาย จากนั้นจะรุกตลาดอาเซียนเป็นเป้าหมายต่อไป โดยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

***
Credit : http://www.khaosod.co.th

ท้าลอง"Eagle F1" ยางสายพันธุ์หนึบ


เปิดตัวสุดยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง กับสื่อมวลชนภูมิภาคอาเซียน ที่สนามแข่งรถแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี สำหรับการทดสอบยางรถยนต์ใหม่ของกู๊ดเยียร์ "Eagle F1" ที่มาพร้อมกัน 2 รุ่น

งานนี้มี "เฟร็ด ไฮโกลด์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกู๊ดเยียร์ เอเชีย แปซิฟิก พร้อมกับ "ริชาร์ด เจ. เฟลมมิ่ง" กรรมการผู้จัดการกู๊ดเยียร์ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำทีมมาเอง

ยางรุ่นแรกคือ "Eagle F1 Asymmetic 2" เน้นกลุ่มลูกค้ารถเก๋งขนาดกลางและเล็ก ที่ต้องการความนุ่มและเกาะถนนยิ่งขึ้น ที่มีเทคโนโลยี Active BraKing ช่วยหยุดรถได้เร็วขึ้น

ลักษณะเด่นคือระบบเบรก 3 มิติ ออกแบบให้สามารถขยายตัวเมื่อสัมผัสกับพื้นถนน ทำให้เกิดการยึดเกาะมากขึ้น ซึ่งต่อเนื่องไปถึงการเบรกที่สั้นลงนั่นเอง

ส่วน "Eagle F1 Directional 5" ยางรถยนต์กึ่งสปอร์ต เทคโนโลยีใหม่ SportGrip จับกลุ่มลูกค้าเก๋งกลาง ถึงใหญ่ ประเภทรถยุโรป รถแต่ง รถสปอร์ต คูเป้ ที่ต้องการยางรถยนต์คุณภาพสูง

ออกแบบร่องยางและดอกยางให้ช่วยกระจายแรงกด เพิ่มสัมผัสผิวถนนอย่างต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน ทนทาน และลดการสึกหรอของดอกยาง

Eagle F1 Asymmetec 2 ผ่านการทดสอบจากสถาบันอิสระ TUV SUD ของประเทศเยอรมัน ผลที่ออกมาคือสามารถหยุดรถได้เร็วขึ้น ทั้งบนถนนแห้ง รวมถึงถนนเปียก เพิ่มความมั่นใจ พร้อมทั้งให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้ดีขึ้น

ขณะที่ Eagle F1 Directional 5 ให้ความแม่นยำ และสมรรถนะการทรงตัว และยึดเกาะ เพิ่มความสนุกสนานการขับขี่ ดอกยางออก แบบมาให้มีลักษณะเคลื่อนไหว จึงเข้ากันได้ดีกับแม็กซ์ลายต่างๆ

การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ช่วง เช้าวิ่งในสนามมี 2 ฐาน ฐานแรกเป็นการขับขี่แบบเปลี่ยนเลนในโค้งกว้าง และฐานสลาลมผลที่ได้รับหลังทดสอบ อย่างหนึ่งที่เห็นชัดเจนคือการทรงตัวที่ดี

ช่วงสลาลมจังหวะการโยนตัวไปมาของรถไม่มีบานออกให้ได้รู้สึก ส่วนการเปลี่ยนเลนในทางโค้งมีอาการหน้าไวอยู่เล็กๆ แต่ด้วยการยึดเกาะถนนทำให้แก้อาการได้ด้วยความรวดเร็ว

ส่วนช่วงบ่ายขับขี่บนถนนจริงประมาณให้รับรู้ถึงความนุ่มเงียบที่แม้จะวิ่งอยู่บนถนนทางหลวงชนบท ย่อมมีขรุขระเป็นธรรมดา แต่แรงสัมผัสไม่ได้กระด้างขึ้นมาถึงในห้องโดยสาร รวมถึงเรื่องของเสียงที่จัดว่าเงียบในเกณฑ์น่าพอใจ

"Eagle F1" ทั้ง 2 รุ่นถือเป็นยางใหม่ที่น่าสนใจทีเดียว

***
Credit : http://www.khaosod.co.th/index.php

"วอลโว่ S60"สปอร์ตซีดานเหนือชั้น

คอลัมน์ ทดสอบ
กิตติพงศ์ ศรีเจริญ 



อวดความเซ็กซี่ครั้งแรกในบ้านเราตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว "วอลโว่ เอส60" ที่กิ๊บเก๋อยู่บนแฟชั่นรันเวย์ ในโชว์พิเศษร่วมกับนางแบบและนายแบบ ในงานแฟชั่นอันดับหนึ่งของประเทศ "ELLE Fashion Week 2010 Autumn/Winter at CentralWorld"

หลังแรกเห็น "ข่าวสด ยานยนต์" จึงติดต่อเข้าไปยังทีมงานประชาสัมพันธ์เพื่อนำมาทดสอบ แต่ด้วยความร้อนแรงเกินห้ามใจทำให้ต้องรอคิวกันยาวเหยียด

กระทั่งล่าสุด "คุณต่าย" ณัฎฐา จิตราคม พีอาร์สาวแห่ง "วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย" กริ๊งกร๊างเข้ามาแจ้งว่า มีรถรุ่นนี้ว่างให้ทดสอบแล้ว เชิญมารับไปได้เลย

นัดแนะกันวันศุกร์ช่วงบ่ายแก่ๆ ที่สำนักงานใหญ่ย่านคลอง ตัน พบพักตร์กันเต็มๆ เห็นได้ถึงความปราดเปรียว มองว่าน่าจะเป็นรถที่ขับสนุก อีกคันหนึ่งของตระกูลวอลโว่

รับกุญแจสตาร์ตเครื่องออกมาหน้าสำนักงานก็ติดแหง็กด้วยปริมาณรถยนต์ใหญ่น้อยหนาแน่นเต็มพื้นที่

แต่ด้วยความรื่นรมย์ของการดีไซน์ห้องโดยสาร ให้ความรู้สึกถึงความโอ่โถง โล่งสบาย เบาะนั่งหนังแท้โอบกระชับ อุปกรณ์ต่างๆ จัดวางได้อย่างลงตัว

ประกอบกับความคล่องตัวที่แม้จะจับพวงมาลัยไม่กี่นาที แต่ก็สร้างความคุ้นเคยได้ไม่ยาก หลบหลีกเพื่อนร่วมทางอย่างสบายใจถึงที่หมายอย่างปลอดภัย และไม่เครียด

วันรุ่งขึ้นออกเดินทางแต่เช้ามุ่งหน้าไป จ.ปราจีนบุรี เลือกใช้เส้นทางรังสิต-นครนายก ขึ้นโทลล์เวย์เพื่อย่นเวลา พร้อมทั้งมีพื้นที่ให้ทดสอบความเร็ว ถนนโล่งสุดๆ จึงเพิ่มน้ำหนักที่แป้นคันเร่งขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วที่เรียกมาจากเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ ได้ตามแรงกด

วันนั้นทำไปได้ 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เชื่อได้เลยว่ายังไปได้อีก เพราะแป้นคันเร่งยังไม่สุด แต่แค่นี้ก็จี๊ดแล้วสำหรับรถขนาดเล็กเท่านี้
ระบบช่วงล่างในย่านความเร็วสูงไม่มีอาการสะท้านให้รู้สึก นิ่งสนิทราวกับความ เร็วต่ำ การเปลี่ยนเลนทำได้กระชับฉับไวเช่นเดียวกับการเข้าโค้ง ด้วยเพราะพวงมาลัยที่แม่นยำ ช่วยให้การควบคุมรถมั่นใจมากขึ้น และยังมีระบบความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของวอลโว่มาโดยตลอดใส่เข้ามาแบบจัดเต็ม

ตั้งแต่ระบบควบคุมการทรงตัว และยึดเกาะถนนแบบไดนามิก Dynamic Stability and Traction Control ควบคุมการทรงตัว ป้องกันอาการท้ายปัด หมุน หรือพลิกคว่ำ

ทั้งมีอุปกรณ์ตรวจสอบการโคลงตัวและอัตราเร่งเพื่อตรวจจับการลื่นไถลตั้งแต่ออกตัว และชดเชยในอัตราที่ถูกต้องเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวรถ

เข้าเส้นรังสิต-นครนายก ผ่านไปถึงคลองลึกๆ ถนนเริ่มต่างจากช่วงแรก มีหลุมบ่อดักซ้าย ขวา เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นระยะๆ แถมยังมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา ทำให้ต้องใช้สมาธิเพิ่มมากขึ้น หลบหลีกต่อเนื่องเป็นหลายสิบกิโลเมตรบางคราที่โยกหลบหลุมบ่อ มีเพื่อนร่วมทางที่อยู่ด้านข้างตัวรถแบบไม่ทันได้สังเกต

แต่วอลโว่ เอส 60 ติดตั้งกล้องดิจิตอลที่ใต้กระจกมองข้าง เมื่อมีรถเข้ามาในโซนจุดบอด ระบบจะทำงานเตือนผ่านสัญญาณไฟสว่างขึ้น ที่ประตูข้างทั้งซ้ายและขวา ปลอดภัยขึ้นอีกเยอะ

ความบันเทิงในห้องโดยสารมีมาให้เต็มพิกัดหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ทำงานร่วมกับลำโพง 8 ตัว ให้เสียงกระหึ่มสะใจ เพื่อใช้ชมดีวีดี

หรือจะเชื่อมต่อจากอุปกรณ์มือถือต่างๆ อาทิ ไอพอด แฟลชไดรฟ์ ผ่านยูเอสบีพอร์ต สะดวกสบายไม่ต้องยกหูโทรศัพท์ด้วยระบบบลูทูธ กล้องหลังทำงานมาที่จอ ภาพเมื่อถอยจอด เพิ่มความปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้น

ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีส่วนช่วยให้การขับขี่สนุกมากขึ้น ลดความเครียดและเหนื่อยล้าเมื่อต้องเดินทางไกลๆ

ส่วนระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ City Safety ที่วอลโว่ภูมิใจนำเสนอ เพราะรถจะหยุดอัตโนมัติ เมื่อตรวจจับได้ว่าความเร็วในการพุ่งเข้าหาวัตถุข้างหน้ามากเกินไป ที่ความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ข่าวสด ยานยนต์ ไม่ได้ทดลองด้วยใจไม่ถึงพอที่จะให้รถหยุดเอง แต่ได้เคยเห็นทีมงานสาธิตให้ชมเมื่อวันเปิดตัวไปแล้วซึ่งทำงานได้จริง ปลอดภัยทั้งตัวรถ และสิ่งที่อยู่หน้ารถ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ

ถึงจุดหมายปลายทางฝนขาดเม็ดไปได้พักใหญ่ ถือโอกาสพิจารณารูปลักษณ์ วอลโว่ เอส60 ใหม่ให้เต็มตา ดีไซน์ภายนอกให้ความรู้สึกสปอร์ต โฉบเฉี่ยว โดยเฉพาะเส้นสายด้านข้างที่มาในอารมณ์รถคูเป้แต่อยู่บนร่างของรถซีดาน

กระจังหน้าใหม่พร้อมโลโก้ขนาดใหญ่ ไฟข้างกระจังหน้าที่อยู่นอกกรอบไฟใหญˆ เพิ่มความโดดเด่นได้อย่างมาก ไฟท้ายคล้ายตัวแอลคว่ำสะดุดตาชวนมองยามขับตามหลัง

เป็นรถที่ทั้งสวยและขับสนุกจนห้ามพลาดที่จะไปขอทดลองขับกันดู



ข้อมูลทางเทคนิค

แบบตัวถัง เก๋ง 4 ประตู

เครื่องยนต์ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบ

ความจุ 1999 ซีซี

กำลังสูงสุด 203 แรงม้า/6,000 รอบฯ

แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร/1,750-4,000 รอบฯ

ระบบส่งกำลัง เพาเวอร์ชิฟต์ 6 สปีดเกียร์ทรอนิก

ระบบรองรับ(หน้า) แม็กเฟอร์สันสตรัต

ระบบรองรับ(หลัง) มัลติลิงก์

มิติ(กว้างxยาวxสูง) 1,865x4,628x1,484 ม.ม.
ราคา 2,990,000 บาท
**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

มอร์แกน รถคลาสสิกแฮนด์เมด นำเข้าจากอังกฤษ

บริษัท คุณค่า คอร์ปอเรชั่น เล็งเห็นคุณค่าของรถคลาสสิกสไตล์วินเทจที่ไม่เคยเอาต์จากตลาด ได้นำรถมอร์แกนซึ่งเป็นรถคลาสสิกจากประเทศอังกฤษเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย รถมอร์แกนมีความพิเศษตรงที่ลูกค้าสามารถสั่งทำสี หน้าปัด ภายในตัวรถได้หลายรูปแบบตามแต่ความชอบ

ที่เปิดตัวล่าสุด คือ มอร์แกน โรดสเตอร์ สปอร์ต ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นรถคลาสสิก หรือที่เข้าใจแบบบ้าน ๆ คือ รถโบราณ หลังคาผ้าโมแฮร์ ปิด-เปิดได้ ล้อแม็ก ชนิดซี่ลวดสแตนเลสสีดำ ล้อหน้ากว้างช่วยให้การบังคับรถเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฝากระโปรงหน้าพร้อมครีบระบายอากาศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมอร์แกน ฝากระโปรงหลังดูเรียบสปอร์ต ไฟเบรกขนาดใหญ่

ภายในมีผ้าคลุมห้องโดยสารแบบพิเศษ เบาะหนังแท้ พวงมาลัยไม้แบบสปอร์ต มีปุ่มสตาร์ต ทันสมัย อุปกรณ์มาตรฐานที่มากับรถจะประกอบด้วยเบาะหนังแท้สีดำหรือสีแทน แผงหน้าปัดทำสี แผงหน้าต่างด้านข้างแบบถอดเก็บได้ กล่องเก็บของ ที่พักแขน ปลายท่อไอเสียแบบสปอร์ต ที่ใช้ระบบตัวยึดแบบหมุด 9 จุด

รถคลาสสิก โรดสเตอร์มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 3,000 ซีซี วี 6 ให้กำลังสูงสุดที่ 226 แรงม้า ให้แรงบิดที่ 285 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง มีให้เลือก 8 สี ราคา 6.55 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีรุ่นอื่น ๆ ทั้งมอร์แกน 4/4, มอร์แกน 4/4 สปอร์ต เครื่องยนต์ขนาด 1,600 ซีซี, มอร์แกน พลัส 4 และมอร์แกน พลัส 4 สปอร์ต ขนาดเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี และมอร์แกน โรดสเตอร์ เครื่องยนต์ 3,000 ซีซี ราคาระหว่าง 4.2-6.3 ล้านบาท ทุกรุ่นต้องจองและใช้เวลารอ 3-6 เดือนจึงจะได้เป็นเจ้าของ.

เนตรนภางค์ บุญนายืน http://www.dailynews.co.th/
โทรราคาถูกไปประเทศไทย
1.5 ¢/นาที คิดค่าโทรตามจริง คุณภาพที่ดีที่สุด สั่งซื้อตอนนี้!
www.callmuangthai.com

แลมโบกินี อเวนทาดอร์ แอลพี 700-4 สุดยอดซูเปอร์คาร์

นิช คาร์ ได้เปิดตัว แลมโบกินี อเวนทาดอร์ แอลพี 700-4 สุดยอดซูเปอร์คาร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ด้วยนวัตกรรมตัวถังโครงสร้างโมโนค็อกขึ้นรูปด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคัน ให้ความแข็งแกร่งกว่าโครงสร้างแชสซีส์ และวัสดุอัลลอยที่ใช้กันในรถซูเปอร์คาร์ทั่วไป นวัตกรรมตัวถังของแลมโบกินีทำให้อเวนทาดอร์แข็งแกร่ง และมีน้ำหนักเบาเพียง 1.5 ตันเท่านั้น จึงมีความคล่องตัวสูง

การออกแบบภายในห้องโดยสาร แลมโบกินีได้คัดสรรวัสดุชั้นเยี่ยม หรูหรา ระดับซูเปอร์ไฮคลาสรังสรรค์งานศิลปะ ผสมผสานกับนวัตกรรมชั้นสูงได้อย่างลงตัว เมื่อนั่งภายในตัวรถเหมือนอยู่ในห้องบังคับอากาศยาน ปุ่มสตาร์ตรถคล้ายกับปุ่มยิงขีปนาวุธ จอที่คอนโซลเป็นจอประมวลผลการทำงานแบบทีเอฟทีและเป็นเครื่องเล่นให้ความบันเทิงแก่ผู้โดยสาร และใช้จอแอลซีดีแสดงการทำงานของรถทั้งระบบ เช่น ระดับความเร็ว รอบเครื่องยนต์ และข้อมูลการทำงานของรถ

เมื่อกดปุ่มสตาร์ต ทันใดนั้นก็สัมผัสถึงความแรงของเครื่องยนต์ขนาด 6,498 ซีซี 12 สูบ ให้กำลัง 700 แรงม้า ที่ 8,250 รอบ/นาที แรงบิด 690 นิวตัน-เมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที ระบบเกียร์อัจฉริยะไอเอสอาร์ 7 สปีด เปลี่ยนเกียร์ใช้เวลาเพียง 0.05 วินาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.9 วินาที ระบบการขับเคลื่อนสี่ล้อควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่กระจายแรงลงสู่เพลาหน้าและหลัง นอกจากนี้ยังสามารถเลือกโหมดขับขี่ได้ถึง 3 โหมด คือ โหมดสตราด้า สำหรับขับบนไฮเวย์ โหมดสปอร์ต สำหรับขับในสนามแข่ง และโหมดคอร์ซ่าสำหรับขับในสนามแข่งที่ผู้ขับขี่ต้องการใช้ทักษะในการควบคุมรถ

แลมโบกินี อเวนทาดอร์ แอลพี 700-4 สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ครอบครอง เจ้าของสามารถสั่งตกแต่งได้ตามความต้องการ มีสีรถให้เลือก 13 เฉดสี วัสดุตกแต่งย่อย 3 เฉดสี ออพชั่นการตกแต่งภายในมีให้เลือก 2 แบบ 2 เฉดสี สไตล์ทู-โทนแบบสปอร์ต และแบบหรูหรา นิช คาร์ เคาะราคาที่ 36 ล้านบาท.

เนตรนภางค์ บุญนายืน : http://www.dailynews.co.th

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค 250 อาร์-172 สปอร์ต หรู เริด

ทีเอสแอล ออโต้ คอร์ปอเรชั่น ได้นำเข้ารถเมอร์เซเดส-เบนซ์ สปอร์ต ใหม่ล่าสุด รุ่นเอสแอลเค 250 อาร์-172 ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด และเพื่อพิสูจน์ถึงสมรรถนะ ทีเอสแอลได้เปิดสนามมอเตอร์สปอร์ตแลนด์ให้สื่อมวลชนทดลองขับ สำหรับการทดสอบ แบ่งออกเป็น 4 สถานี เริ่มจากสถานีที่ 1 ขับแบบสลาลอม เพื่อทดสอบการตอบสนองช่วงล่าง รวมถึงความนิ่มนวลและการควบคุมของระบบการทรงตัว

ต่อด้วยสถานีที่ 2 เป็นการขับแบบเปลี่ยนช่องทาง เพื่อแสดงสมรรถนะของระบบบังคับเลี้ยวและระบบกันสะเทือน สำหรับสถานีที่ 3 ทดสอบการบังคับควบคุม ให้เห็นถึงความสมดุลของน้ำหนักตัวรถแบบ 50:50 และสถานีที่ 4 เป็นการทดสอบระยะการเบรก เพื่อแสดงสมรรถนะของระบบเบรก

การทดสอบในครั้งนี้ แต่ละสถานีมีระยะทางสั้น ๆ แต่สามารถทดสอบสมรรถนะของรถได้ตามวัตถุประสงค์ ทั้งช่วงล่างที่แน่น การเปลี่ยนเลน พวงมาลัยตอบสนองทันใจ ระบบเบรกตอบสนองได้ดี แม้จะหยุดรถในขณะที่ใช้ความเร็วก็มั่นใจ ด้วยสมรรถนะของตัวรถระดับเมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถการันตีตัวเองได้อยู่แล้ว

เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นเอสแอลเค 250  อาร์-172 นี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยีและอุปกรณ์ตกแต่งอีกเช่นเคย โดยเฉพาะหลังคาระบบเมจิก สกาย คอนโทรล ที่สามารถปรับระดับความเข้มแสงที่ส่องผ่านได้ ไม่ว่าแสงแดดจะแรงเพียงใด และหลังคาสามารถพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุกระบอกสูบ 1,796 ซีซี รีดกำลังได้ถึง 204 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 310 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-4,300 รอบ/นาที ให้ความเร็วสูงสุด 241 กม./ชม. มีระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 7 จังหวะ (7จี-ทรอนิกส์) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน หุ้มด้วยหนังแท้แนปปา สามารถปรับระดับได้ถึง 4 ทิศทาง ช่วยเพิ่มความสบายในขณะขับขี่มากขึ้น ทีเอสแอลเคาะราคาเมอร์เซเดส-เบนซ์ 4.59  ล้านบาท พร้อมรับประกัน 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร.

เนตรนภางค์ บุญนายืน :http://www.dailynews.co.th/

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Make up อย่างไรดูธรรมชาติอีกแก้ปัญหาที่มีอยู่สีรองพื้นเข้ากับสีผิว
















































































































































































































Credit : http://www.thairath.co.th/life

ยลผลงานสร้างสรรค์ ต่อยอดองค์ความรู้

ต่อเนื่องมาสำหรับการกระจายโอกาสสร้างแหล่งเรียนรู้ด้านการออกแบบสู่ภูมิภาค หรือ มินิ ทีซีดีซีโครงการที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบจัดขึ้นเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แก่นักศึกษา นักออกแบบในภูมิภาคต่าง ๆ จากจุดหมายบริเวณโถงทางเข้าศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ชั้น 6 ดิ เอ็มโพเรียม ชอปปิง คอมเพล็กซ์ ขณะนี้ได้เผยแพร่ผลงานการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่จากทั่วทุกภูมิภาคให้ศึกษาสัมผัส
   
การออกแบบแห่งท้องถิ่น นิทรรศการแสดงผลงานสร้างสรรค์ถ่ายทอดพลังความคิดของนักศึกษาต่อยอดองค์ความรู้ จินตนาการและแรงบันดาลใจจากท้องถิ่นผ่านผลงานการออกแบบที่แสดงถึงผลผลิตแห่งวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของชุมชน ประวัติศาสตร์และสังคมในทุกภูมิภาคด้วยมุมมองการออกแบบร่วมสมัย
   
ส่วนหนึ่งจากนิทรรศการ เลอชาติ ธรรมธีรเสถียร นักจัดการความรู้อาวุโส ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เล่าถึงการเริ่มขึ้นของนิทรรศการว่า การออกแบบแห่งท้องถิ่นนิทรรศการดังกล่าวเป็นอีกกิจกรรมส่งเสริมสนับสนุนนักศึกษาทั่วทุกภูมิภาคได้ร่วมสร้าง สรรค์ผลงานต่อยอดความรู้ พัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของตนเองที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านการออกแบบ อีกทั้งยังมีความหมายต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยที่ผ่านมามีมหาวิทยาลัยเข้าร่วม 13 มหาวิทยาลัย
   
หลากรูปแบบผลงานที่ปรากฏจากโจทย์การออก แบบแห่งท้องถิ่น แต่ละมหาวิทยาลัยสร้างสรรค์ออกแบบผลงานที่มีเอกลักษณ์โดยมี 10 มหาวิทยาลัยได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหา วิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรม ราช มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี มหา วิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตและมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ซึ่งผู้ชมจะได้ศึกษาสัมผัสกับพลังสร้างสรรค์ผ่านผลงานการออก แบบของคนรุ่นใหม่ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ทั้ง เครื่องประดับจากวัสดุเหลือใช้จากรถจักรยานยนต์ หนึ่งในการออกแบบผลงานนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งนำแนวคิดการออกแบบเปลี่ยนโซ่ที่แข็งแรง สู่เครื่องประดับที่อ่อนช้อยและดูหรูหรา ขณะที่ หมอนอิงป่านศรนารายณ์ โดดเด่นด้วยเทคนิคการไล่เฉดสีดำ-ขาว-เทา สีจากเปลือกหอยแครง ผลงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีได้สร้างสรรค์ อีกทั้งยังมี เครื่องเรือนเสื่อกกบ้านแพง, เก้าอี้กระจูด ซึ่งนำมาขึ้นรูปโดดเด่นด้วยโครงสร้างและประโยชน์ใช้สอย ฯลฯ ผลงานนักศึกษามหาวิทยาลัย มหาสารคาม และ นอกเหนือจากงานจักสานยังมีผลงาน การออกแบบเสื้อและอีกหลากหลายที่มีเอกลักษณ์ถ่ายทอดถึงท้องถิ่นและหลังจากที่การแสดงผ่านมาระยะหนึ่งผลงานการออกแบบแห่งท้องถิ่นทั้งหมดเตรียมสัญจรแสดงไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาค.
**

ถ่ายทอดองค์ความรู้ ศิลปะเครื่องเคลือบดินเผา

อีกเทคนิคที่มีเสน่ห์ เครื่องปั้น ดินเผา ศิลปะแขนงนี้ไม่เพียงพบว่ามีความเป็นมานับแต่ครั้งยุคก่อนประวัติ ศาสตร์ ในด้านวิวัฒนาการการสร้าง สรรค์ยังมีความโดดเด่น โดยเทคนิคผลงานแต่ละยุคสมัยมีความหลากหลายแตกต่างกันตามลักษณะของผลงาน
   
ปัจจุบันศิลปะเครื่องปั้นดินเผาได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง นอกเหนือจากการเรียนการสอนถ่ายทอดความรู้ที่มีต่อเนื่องมาของสาขาเครื่องปั้นดินเผาวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโน โลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ที่ผ่านมาสาขาวิชาและกลุ่มอาจารย์ได้ร่วมกันเผยแพร่ความรู้ศิลปะเครื่องเคลือบดินเผาแก่บุคคลทั่วไปและจากการปฏิบัติการสร้างสรรค์ศิลปะ ผลงานที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้แสดงขึ้นในพื้นที่ศิลปะหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถจวบถึง 30 กรกฎาคม 2554
   
การสร้างสรรค์ศิลปะเครื่องเคลือบดินเผาเพื่อสังคมไทย นิทรรศ การครั้งนี้ซึ่งมีจุดหมายถ่ายทอดองค์ความรู้ การสร้างสรรค์และพัฒนาผลงานศิลปกรรมโดยใช้เทคนิคเครื่องเคลือบดินเผาเป็นสื่อ สราวุฒิ วงษ์เนตร อาจารย์ประจำสาขาเครื่องปั้นดินเผา วิทยาลัยเพาะช่างมทร.รัตนโกสินทร์บอกเล่าว่า ผลงานศิลปะเครื่อง ปั้นดินเผาที่แสดงมีทั้งผลงานของอาจารย์และบุคคลภาย นอกที่เข้าร่วมอบรมซึ่งการปฏิบัติการ สร้างสรรค์ศิลปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ร่วมกันแบ่งเป็น 3 ระยะโดยมีการบรรยายความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศิลปะเครื่องเคลือบดินเผา ถ่ายทอดเทคนิคการสร้างสรรค์ การปฏิบัติการศิลปะและหลักจากการอบรมได้นำเสนอผลงานแสดงร่วมกันในนิทรรศการดังกล่าว“เครื่องปั้น ดินเผาศิลปะแขนงนี้มีการสร้างสรรค์และมีพัฒนาการมายาวนานได้รับความนิยมเป็นที่รู้จักกว้างขวางทั้งในซีกโลกตะวันตกและตะวันออกซึ่งในความโดดเด่นของศิลปะสามารถนำมาสร้างสรรค์เป็นเครื่องใช้ต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นภาชนะจาน ชาม แจกัน ของตกแต่ง ฯลฯ ขณะเดียวกันสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ”
   
โดยทั่วไปเครื่องปั้นดินเผาอาจเข้าใจ และมองกันเพียงเฉพาะภาชนะเครื่องถ้วยชาม มองในแง่ผลิตภัณฑ์ทางศิลปะแต่อย่างไรแล้วเครื่องปั้นดินเผาได้รวมไปถึงผลิตภัณฑ์นานาชนิดที่ทำจากดิน หินโดยผ่านกรรมวิธีการเผาให้มีความแข็งแกร่งคงทนถาวร และในผลงานการสร้างสรรค์ครั้งนี้ซึ่งมีความหลากหลายทั้งในด้านเทคนิค แนวคิดมีผลงานประติมากรรมนูนต่ำ ประติมากรรมลอยตัว งานสื่อผสม ศิลปะจัดวาง ฯลฯ ซึ่งศิลปินได้ถ่ายทอดแสดงให้เห็นถึงการก้าวไปของเครื่องเคลือบดินเผา บอกเล่าคุณค่าความงามของศิลปะเปิดมุมมองศิลปะเครื่องเคลือบดินเผาให้ศึกษาสัมผัสใกล้ชิด.
****

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เยี่ยมศูนย์วจัย"ฮุนได" โชว์คุณภาพครบวงจร

คอลัมน์ รายงานพิเศษ
มยุรี นวมมี



การเดินทางเยี่ยมชมศูนย์การวิจัยและพัฒนา รถยนต์ฮุนได ที่เมืองนัมยาง (Hyundai Namyang R&D Center) และโรงงานผลิตเหล็ก กล้า ฮุนได สตีล แฟคทอรี่ (Hyundai Steel Factory) ที่ประเทศเกาหลีในกิจกรรม Journey to the world of Hyundai : Thailand Journa lists in Hyundai R&D Center Namyang, Korea 2011

นำโดยบอสใหญ่ นายโยชิอากิ อิชิมูระ ประ ธานกรรมการ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ระหว่างวันที่ 10-14 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้คณะสื่อมวลชนได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของค่ายรถยนต์แบรนด์ชั้นนำสัญชาติเกาหลี ที่กำลังผงาดขึ้นชั้นบริษัทรถยนต์ชั้นนำของโลก

จากจุดแข็งของฮุนไดที่มีสายงานธุรกิจรถยนต์ที่ครบวงจร ตั้งแต่ขบวน การผลิตวัตถุดิบ การวิจัยพัฒนาและออกแบบ ตลอดไปจนถึงการประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูป ด้วยการลงทุนสร้างโรงงานถลุง และผลิตเหล็กที่เป็นของตน เอง ป้อนให้แก่อุตสาห กรรมการผลิตรถยนต์โดย ตรง ทำให้ฮุนไดสามารถควบคุมต้นทุนและคุณ ภาพมาตรฐานรถยนต์ได้แบบครบวงจร
ผนวกกับการนำเทคโน โลยีที่ทันสมัยที่คิดค้นโดยศูนย์วิจัยและพัฒนาฮุนได มาใช้พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างลงตัวและปลอดภัย ตอกย้ำประสิทธิภาพด้านการตลาดและการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ

ศูนย์การวิจัยและพัฒนา รถยนต์ฮุนได นับเป็นศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระดับโลก ที่เพียบพร้อมไปด้วยศูนย์วางแผน การออกแบบ และวิจัยการขับเคลื่อน ภายใต้การทำงานของ บุคลากรคุณภาพกว่า 8,000 คน ความทันสมัยของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ฮุนไดคิดค้น สามารถตอบโจทย์ความปลอดภัยในการขับขี่ได้อย่างลงตัว

เช่น การพัฒนานำนวัตกรรมนาโนมาผลิตเป็นกระจกรถยนต์ โดยเฉพาะกระจกบริเวณด้านหน้ารถที่มีความสามารถพิเศษทำให้เม็ดฝนไม่เกาะติดบริเวณหน้ากระจก รบกวนทัศนวิสัยในการขับขี่ การคิดค้นพัฒนายางรถยนต์ชนิดพิเศษที่ไม่แตกเมื่อเกิดการชนหรือกระแทก การพัฒนาแผ่นเหล็กประกอบโครงรถยนต์ให้มีน้ำหนักเบาและเพิ่มความเหนียวทนทาน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดจากการชนกระแทกจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน และการพัฒนาหลังคารูปแบบที่เป็นแผ่นพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถชาร์ตไฟบ้านได้

มาตรฐานระบบทดสอบความปลอดภัยในการขับขี่ และระบบป้องกันภัยเป็นอีกหัวใจสำคัญที่ฮุนไดมุ่งมั่นเดินหน้าต่อเนื่อง รับรู้ได้จากการเยี่ยมชมสนามทดสอบการขับขี่ที่มีความหลากหลาย และครบวงจร

เริ่มตั้งแต่ระบบการจัดเตรียมรถต้นแบบกว่า 7,000 คัน เพื่อนำมาขับขี่ทดสอบสมรรถนะ นำมาวิ่งที่สนามทดสอบ หรือ Proving Ground ภายในศูนย์ที่มีระยะทางยาวถึง 70 กิโลเมตร แบ่งออกเป็นถนน 34 รูปแบบ ที่มีลักษณะพื้นผิวขรุขระมากถึง 71 พื้นผิว

นอกจากนี้ฮุนไดยังทุ่มเงินมหาศาลกว่า 45 ล้านเหรียญสหรัฐ จัดสร้างอุโมงค์ลมทันสมัยขนาดใหญ่ที่มีความกว้าง 4 เมตร ยาว 7 เมตร เพื่อนำมาใช้ทดสอบความปลอดภัยของตัวรถยนต์ด้วยการปล่อยกระแสลมซึ่งมีความเร็วกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผ่านอุโมงค์ลมมายังตัวรถยนต์ เป็นเวลานาน เฉลี่ยคันละ 500-1,000 ชั่วโมง

นายสฤกษ์ภรณ์ สกลรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดและวางแผนผลิตภัณฑ์ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์)จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่สร้างแต้มต่อให้กับความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ฮุนได คือการมีโรงงานถลุงและผลิตเหล็กแบบครบวงจร ทำให้ฮุนไดสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ สามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยืนยันว่าฮุนไดจะไม่มีการปรับราคาจำหน่าย แม้ว่าในอนาคตจะมีการนำวัสดุ อุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีราคาแพงขึ้นมาใช้ในกระบวนการผลิตรถยนต์ก็ตาม
สำหรับโรงงานผลิตเหล็กกล้า ฮุนได สตีล แฟคทอรี่ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ มีกำลังการผลิตเหล็กต่อปีจำนวนมหาศาล แบ่งเป็นเหล็กดิบ 4.5 ล้านตัน และเหล็กแผ่นชนิดม้วน 4.4 ล้านตัน ภายในโรงงงานที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร เริ่มตั้งแต่ท่าเรือขนส่งวัตถุดิบสินแร่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ระบบการขนถ่ายสินแร่ผ่านทางรถไฟขนาดเล็ก และระบบท่อมาจัดเก็บในโรงเก็บสินแร่รูปโดมขนาดใหญ่ที่เป็นระบบปิดที่เดียวของโลก ที่สามารถป้องกันไม่ให้สินแร่ฟุ้งกระจายออกสู่บรรยากาศด้านนอกจนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากฮุนไดเน้นย้ำระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายแฟรงก์ อาห์เพนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฮุนไดมอเตอร์ กล่าวว่า โรงงานเหล็กฮุนไดเน้นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งการผลิตเหล็กออกเป็น 2 รูปแบบคือ 1.การผลิตเหล็กขึ้นมาใหม่จากสินแร่ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยครึ่งหนึ่งมีการนำเข้าจากออสเตรเลียและแอฟริกา

และ 2.คือการผลิตแบบรีไซเคิล โดยนำเศษเหล็กเก่ามาสังเคราะห์ เพื่อผลิตเป็นเหล็กใหม่ โดยในขบวนการผลิตเหล็กรีไซเคิล ฮุนไดยังมีการนำไอเสียที่ได้จากขบวนการรีไซเคิลเหล็กประมาณ 80% มาผลิตเป็นไฟฟ้าไว้ใช้ภายในโรงงานของฮุนไดอีกด้วย ช่วยประหยัดการใช้พลังงานและลดภาวะโลกร้อน

โดยเหล็กที่ผลิตจากโรงงานของฮุนไดนอกจากนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตรถยนต์โดยตรงแล้ว ยังมีการส่งออกไปจำหน่ายยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น การต่อเรือ งานก่อสร้าง งานวิศวกรรม การสร้างรถไฟ ไปทั่วโลกอีกด้วย

ถือเป็นการตอกย้ำการเป็นบริษัทรถยนต์ชั้นนำของโลกได้ดีทีเดียว
**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

เบนซ์เปิดตัว"C-Class"โฉมใหม่


บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวยนตรกรรม The new generation C-Class โฉมใหม่ ประเดิมด้วยรุ่น C 250 CDI Blue EFFICIENCY AVANTGARDE

ดร.อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานเมอร์เซเดส-เบนซ์ฯ กล่าวว่า C-Class เน้นเรื่องความสะดวกสบายและความปลอดภัยเฉกเช่นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น ภายในมีการปรับโฉมใหม่ด้วยองค์ประกอบชั้นสูงไม่ต่างกับ CLS-Class รุ่นล่าสุด รวมทั้งภายในยังได้ปรับให้ดูทันสมัยด้วยระบบสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุด สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ด้วย

สำหรับ C-Class ใหม่ ดีไซน์ภายนอกทรงพลังด้วยลายเส้น รวมทั้งกระจังหน้าสีเงินที่ดูสะดุดตา ด้วยรูปทรง V-Shape พร้อมฝากระโปรงหน้าใหม่ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา โคมไฟคู่หน้าใหม่แบบไฟซีนอน ออกแบบให้ดูดุดันแต่มีชีวิตชีวามากขึ้น ไฟท้ายดีไซน์ใหม่แบบ LED ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่

ภายในเปลี่ยนหน้าปัดและพื้นผิวสัมผัสให้ดูมีความนุ่มนวล แต่โฉบเฉี่ยวทันสมัยด้วยลายเส้นที่ต่อเนื่องไปจนถึงแผงข้างประตูด้านหน้าทั้งสองข้าง จอแสดงผลความละเอียดสูง สะดวกในการสื่อสารด้วยการเชื่อมต่อเพียงปลายปุ่มสัมผัสบนพวงมาลัย เครื่องยนต์แบบใหม่แนวคิดBlue EFFICIENCY เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูล เลอร์ กำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า อัตราเร่งจาก0-100 ก.ม./ช.ม. โดยใช้เวลาเพียง 7.0 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 15.62-17.24 ก.ม./ลิตร อวดโฉมตามโชว์รูมเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั่วประเทศ
**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

"กรังด์ปรีซ์"จัดเต็ม มหกรรมรถมือสอง

คอลัมน์ รายงานพิเศษ


เป็นอีกงานใหญ่ของวงการรถยนต์เมืองไทย กับ "มหกรรมยานยนต์รถมือสอง และยนตรกรรมนำเข้า" (BANGKOK USED CAR & IMPORTED CAR SHOW) ปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 3 แล้ว

ภายใต้การควบ คุมดูแลของ "พี่เต้" จาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานบริหารอาวุโส เครือกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประธานจัดงานฯ

ปีนี้เพิ่มพื้นที่อีกเท่าตัวใช้สถานที่อาคารชาลเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และขยายเวลาจัดงานนาน 10 วันเต็ม มีค่ายรถมือสองและรถนำเข้าสุดหรูมาออกบูธให้เลือกซื้อ เลือกชมกันจุใจ
ประธานจัดงานกล่าวว่า โซนรถยนต์มือสอง และเกรย์มาร์เก็ต มีรถยนต์ซึ่งผ่านการคัดสรรมาอย่างดีหมุนเวียนให้ชมและเลือกซื้อมากถึง 5,000 คัน ตลอดการจัดงาน 10 วัน ราคามีให้เลือกตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงร้อยล้านบาท เรียกว่าตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการรถมือสอง และรถนำเข้าในทุกเซ็กเมนต์

รถมือสองมาทั้งจากค่ายรถใหญ่ๆ โดยตรง อาทิ โตโยต้าชัวร์ เชฟวี่ โอเค รถยนต์นำเข้าที่เชื่อถือได้ เช่น อีตั้น หรือบีอาร์จี ฯลฯ

ที่สำคัญแต่ ละค่ายต่างมี แคมเปญ โปรโมชั่น เพื่อลูกค้าภายในงานนี้โดยเฉพาะอีกด้วย อาทิ มาสเตอร์ เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ ขนทัพรถยนต์มือสองเข้าร่วมงานกว่า 100 คัน ในราคาสุดพิเศษ และยังมีรับ Smile Package หรือโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ฟรี 12 เดือน

ส่วนที่ถือเป็นไฮไลต์ของโซนนี้ คือ การเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยกับ รถ TESLA ROADSTER รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่สามารถชาร์จไฟบ้านได้โดยตรง ราคาคันละ 8.5 ล้านบาท ซึ่งค่ายอีตั้นนำเข้ามาให้นักเลงรถหัวใจสีเขียวได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด

ใครที่ไม่พร้อมซื้อรถยนต์ด้วยเงินสดในงานจัดให้บริการทางการเงิน ตั้งแต่ตรวจสอบวงเงินสินเชื่อ ที่สามารถอนุมัติสินเชื่อเช่าซื้อได้ภายใน 15 นาที ขณะที่ยังได้รับสิทธิ์อัตราดอกเบี้ยพิเศษ รับของสมนาคุณ และชิงราง วัลจากสถาบันการเงินที่มาร่วมเปิดบูธในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรุงศรี ออโต้ หรือ ธนาคารเกียรตินาคิน

ใครที่หลงใหลรถยนต์คลาสสิค มีรถโบราณหายากที่สภาพดีวิ่งใช้งานได้มาให้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ยุค 50 และยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

คุณผู้หญิงที่คิดว่างานนี้น่าจะเหมาะกับผู้ชายมากกว่าเปลี่ยนความคิดใหม่ได้เลย เพราะในงานมีโซนสินค้าแบรนด์เนมมือสองจากเซเลบริตี้คนดังทั่วฟ้าเมืองไทย รวมถึงสินค้าจากลูกเรือการบินไทยมาร่วมจำหน่ายในราคาพิเศษ

และถ้าเป็นคนชอบลุ้นก็มีรางวัลให้กับทั้งผู้ซื้อรถยนต์ทุกคัน ลุ้นรับรถยนต์โตโยต้า วีออส ป้ายแดง มูลค่ากว่า 500,000 บาท แต่ถ้ายังไม่พร้อมซื้อรถยนต์ในงาน เพียงแค่มีปฏิทินงานยูสคาร์ที่ได้รับแจก หรือแผ่นพับจากรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือเอสเอ็มเอสตอบรับการเข้าร่วมงาน รับคูปองชิงรางวัลรถมอเตอร์ไซค์ Stallions Mini มูลค่ากว่า 30,000 บาท

นอกจากนี้ มีกิจกรรมอื่นๆ อีกเพียบ สามารถเข้าชมได้ฟรี ที่อาคารชาลเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ก.ค.นี้
**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

New CAPTIVA SUVอารมณ์สปอร์ต

คอลัมน์ รถใหม่
กิตติพงศ์ ศรีเจริญ 



อวดโฉมให้เห็นรูปลักษณ์พร้อมกับช่วงที่หนังฟอร์มยักษ์ "ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3" ฉายพอดิบพอดี สำหรับ "เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่" นัยว่าได้กระแสแรงไม่แพ้กัน

ด้วยเพราะความสดใหม่ ประกอบกับเครื่องยนต์เบนซินใหม่ 2.4 ลิตร เฟล็กซ์ฟิว ที่ใช้น้ำมันได้ถึง E85 ตอบโจทย์ความประหยัดและรักษ์โลก ขณะที่เพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน ทั้งด้านความบันเทิง ความปลอดภัยมาอีกเพียบ

เพื่อให้ได้รับรู้ถึงสมรรถนะอรรถประโยชน์ที่ใส่มาในแคปติวา ใหม่ ทีมงานเชฟโรเลต ประเทศไทย นำโดย "อันโตนิโอ ซารา" รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย และ "ศศินันท์ ออลแมนด์" ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ประจำประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน จัดทริปให้ผู้สื่อข่าวทดสอบกันยาวๆ เส้นทาง กรุงเทพฯ-ปราจีนบุรี-เขาใหญ่ ระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร
นัดแนะกันแต่เช้าที่โรงแรมใหญ่กลางเมืองย่านราชประสงค์ แนะนำตัวรถและการใช้งานอุปกรณ์บางอย่าง พร้อมทั้งเส้นทางที่ใช้โดยให้ทดสอบกันคันละ 2 คน

"ข่าวสด ยานยนต์" อาสาขึ้นเป็นผู้ทดสอบคนแรก พร้อมออกเดินทาง มุ่งหน้าขึ้นทางด่วน ระหว่างนั้นแม้จะเป็นช่วงสายแล้ว แต่รถราไม่ได้เบาบางลงเลย ทำให้เมื่อแรกออกมาร่วมอยู่บนถนน ต้องใช้เวลากะระยะอยู่พักหนึ่ง ด้วยความใหญ่โตอลังการ พอเริ่มชิน กลายเป็นดีเพราะความสูงของตัวรถช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้เป็นอย่างดี

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนคือพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ที่นอกจากควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เครื่องเสียงแล้ว ยังสามารถเพิ่ม-ลดความแรงของลมแอร์ได้จากพวงมาลัยด้วย

ออกนอกเมืองบนถนนสายมอเตอร์เวย์พอทำความเร็วได้บ้าง ไม่รอช้ากดคันเร่งกันแบบเต็มๆ เพื่อลองความเร็วสูงสุด วันนั้นทำไว้ได้ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เครื่องยนต์เบนซิน เฟล็กซ์ฟิว ของแคปติวา ใหม่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ถือว่าค่อนข้างไวกับน้ำหนักเท้าเพราะขยับเพียงเล็กน้อยทำให้เกียร์เปลี่ยนลงต่ำ 1 สเต๊ปทันที แต่จะดีกับการเร่งแซงในลักษณะการเชนจ์เกียร์ อย่างไรก็ตามถ้าเป็นการทำความเร็วระยะยาวแล้วไม่มีปัญหาอะไร ทำงานได้อย่างราบเรียบ

ระบบช่วงล่างเป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะหลังจากวิ่งผ่านคอสะพานที่คราแรกนึกว่าจะกระโดด แต่ผลที่ได้คือความหนึบแน่น ไม่ว่าจะย่านความเร็วเท่าไหร่ก็ตาม แบบทีเดียวอยู่ รวมถึงช่วงผ่านหลุมบ่อซับแรงสั่นสะเทือนได้เกือบหมด

ส่วนการเข้าโค้งหากใช้ความเร็วสูงมีบ้างที่ท้ายบานออกหน่อยๆ ด้วยบุคลิกรถที่ค่อนข้างสูง ถือว่ารับได้ และเชื่อว่าคงไม่มีใครนำรถแบบนี้ไปสาดโค้งเล่นแบบรถเก๋งแน่

ถึงจุดเปลี่ยนคนขับ ได้เวลาเล่นอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีมาให้ ซึ่งคันที่ "ข่าวสด ยานยนต์ทดสอบ" เป็นรุ่นรองท็อป ไม่มีจอมาให้ เบาะนั่งหุ้มหนัง โอบกระชับนั่งสบาย แบบ 5+2 ที่นั่ง

แผงคอนโซลหน้า ทันสมัย เครื่องเสียงสามมิติ (3 Dimensional Sound Staging) มีลูกเล่นมากมาย ซึ่งทีมงานภูมิใจนำเสนออย่างมาก ประมาณว่าเลือกได้ว่าจะให้ขับกล่อมเฉพาะคนขับ หรือคนนั่งหลังด้านซ้าย ที่จากการสำรวจพบว่า เป็นจุดบอดในเรื่องเสียงเพลง

นอกจากนี้ยังมีระบบบลูทูธให้เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้สนทนารวมถึงอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงต่างๆ

ถึงจุดหมายปลายทางไม่รอช้าเดินสำรวจรอบคัน ดีไซน์ของแคปติวาใหม่ ด้านหน้ากระจังหน้าสองชั้น "ดูอัลพอร์ท" ขนาดใหญ่ พร้อมกรอบโครเมียมหรู สะท้อนเอกลักษณ์ใหม่ของเชฟโรเลต คาดกลางด้วยโลโก้โบว์ไทสีทองซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนซุ้มล้อของแคปติวาใหม่ ปรับแต่งให้ดูสมบุกสมบันมากขึ้น

เส้นสายด้านข้างลื่นไหลจากหน้าจรดท้าย ส่วนด้านท้ายใกล‰เคียงกับรุ่นก่อนหน้านี้ พร้อมโลโก้"เฟล็กซ์ฟิว"
ทดลองความแรงของแคปติวา ใหม่ หัวใจเฟล็กซ์ฟิว ได้แล้ววันนี้ที่ โชว์รูม เชฟโรเลต ทั่วประเทศ



ข้อมูลทางเทคนิค

แบบตัวถัง อเนกประสงค์ 5+2 ที่นั่ง

เครื่องยนต์ DOHC พร้อมระบบ Double CVC

ความจุ 2,384 ซีซี.

กำลังสูงสุด 168 แรงม้า/5,600 รอบฯ

แรงบิดสูงสุด 229 นิวตัน-เมตร/4,600 รอบฯ

ระบบส่งกำลัง 6 สปีด/Driver Shift Control

ระบบรองรับ(หน้า) แม็คเฟอร์สันสตรัท

ระบบรองรับ(หลัง) มัลติลิงค์ ยึด 4 จุด

มิติ(กว้างxยาวxสูง) 1,850x4,673x1,756 ม.ม.

ราคา 1.198-1.58 ล้านบาท
**
Credit : http://www.khaosod.co.th/

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

“นมัสเต” ณ ใจกลางเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงประเทศเนปาล

ก่อนอื่นขอเริ่มต้นเรื่องราวท่องเที่ยวในดินแดนสูงเสียดฟ้า ด้วยคำว่า “นมัสเต” คำทักทายที่ชาวเนปาลใช้ในทุกโอกาสที่ได้พบปะหรือจากลากันตามแบบฉบับของศาสนาฮินดู มีความหมายว่า “ขอนมัสการพระเจ้าในตัวคุณ”
    
ได้ฟังและสัมผัสคำทักทายดังกล่าวทำให้รู้สึกได้ถึงความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้าที่ซึมซับอยู่ทุกลมหายใจของชาวเนปาล ณ ดินแดนแห่งนี้ที่ผู้มาเยือนบางคนถึงกับกล่าวขานว่า เป็นดินแดนแห่งตำนานและความเป็นจริงที่แยกกันไม่ออก เพราะยังเต็มไปด้วยความสมบูรณ์ทั้งด้านขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่มีการอนุรักษ์ไว้อย่างครบถ้วน
    
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ประเทศเนปาล ยังถือเป็นดินแดนที่สูงเสียดฟ้าที่ผู้คนทั่วโลกต่างรับรู้ว่าเป็นที่ตั้งของ ’ยอดเขาเอเวอเรสต์“ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย เสน่ห์และความงดงามของธรรมชาติเทือกเขาหิมาลัย จึงเป็นอีกสถานที่ที่ผู้คนทั่วโลกจำนวนมากใฝ่ฝันจะได้ไปเยือนสักครั้ง หรือถ้าบรรดาผู้ที่ชื่นชอบแนวท้าทายผจญภัยบนความสูง บวกกับพละกำลังอันแข็งแกร่งก็คงอยากจะไปพิชิตยอดเขาแห่งนี้ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
ถือเป็นความโชคดีของผู้เขียนและคณะสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ อีกกว่า 30 ชีวิต ที่ได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนเนปาล ช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมกับทีมงานของ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เพื่อเดินทางไปรอรับ คุณณัฐพล หรือนาถ ทรัพย์มนู อายุ 35 ปี นักปีนเขาชาวไทยที่เข้าร่วมโครงการ “คิดใหญ่...กล้าใช้ชีวิต Live Your Dream” ที่มีโอกาสเดินทางตามความฝันของตัวเองเยือนถิ่นเอเวอเรสต์ ถึงแม้ว่าความฝันที่มุ่งมั่นอยู่ในใจจะไม่สามารถสำเร็จลุล่วงลงไปได้ก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายาม ความมุ่งมั่น ทุ่มเท ที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนไทยอีกมากมาย
   
ภายหลังจากคุณณัฐพล หรือ “เมนู”(นิคเนมที่เพื่อน ๆ ศิษย์เก่าสวนกุหลาบตั้งฉายาไว้) ต้องตัดสินใจยุติภารกิจขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์ เหตุผลเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน เมื่อคณะของผู้เขียนไปถึงเนปาล จึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยถึงเรื่องราวบางช่วงบางตอนของความท้าทายครั้งหนึ่งในชีวิตว่า แม้ความฝันจะต้องสลายมลายลงไปในวันที่ 24 พ.ค. 54 เพราะทีมงานต้องตัดสินใจยุติภารกิจเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนมาก นอกจากนี้ เชือกชนิดพิเศษ ที่ต้องใช้ปีนในระยะสุดท้ายก็ทำเสร็จล่าช้าเลยกำหนดช่วงเวลาที่สภาพอากาศเหมาะสมตามแผนเดิมที่กำหนดไว้ ทำให้ไม่สามารถปีนขึ้นไปต่อได้

“อากาศแปรปรวนมากเพราะกำลังขยับใกล้ช่วงฤดูมรสุม จากอากาศกำลังดีจู่ ๆ ก็มีพายุหิมะเข้าอย่างหนัก นักปีนเขาชาวเนปาล เชื้อสายเชอร์ปา(Sherpa)ปรมาจารย์นักปีนเขาประเมินเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยนเลยว่า ฤดูมรสุมปีนี้จะมาเร็วกว่าปกติ ถ้าสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต้องยุติการเดินทาง เป็นจังหวะที่เพื่อนชาวเชอร์ปาที่ร่วมเดินทางบางคนป่วยหนัก ทางคณะจึงตัดสินใจร่วมกันว่าควรเดินทางกลับเพื่อความปลอดภัย”
   
นักปีนเขาหนุ่มไฟแรงชาวไทย บรรยายถึงเหตุการณ์ช่วงปีนขึ้นไปอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยเพื่อเตรียมจะพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ว่า ตอนที่รอเชือกชนิดพิเศษผมก็รู้สึกผิดหวัง เพราะเห็นทางฝั่งใต้เขาปีนขึ้นได้ แต่พอทำเชือกเสร็จประมาณวันที่ 19 พ.ค มรสุมก็เริ่มพัดกระหน่ำอย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะ สภาพอากาศเลวร้ายอย่างสาหัส หากยังฝืนดันทุรังปีนขึ้นไปจริง ๆ ก็คงเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่เอเวอเรสต์แน่ ๆ จิตใจตอนนั้นมันบอกไม่ถูก รู้สึกเซ็ง เสียใจ มันมีทุกโหมดอารมณ์ของคำว่าผิดหวังจริง ๆ ทั้งที่ระยะทางเหลืออีกเพียงแค่ 1 กม. กว่า ๆ เท่านั้นเอง

สำหรับการแก้ตัวเพื่อพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ในปีถัดไปให้ได้นั้น นักปีนเขาหนุ่มชาวไทย กล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากที่จะมีเพื่อนคนไทยไปร่วมเดินตามความฝันกับผมด้วย เชื่อว่าสำหรับคนที่มีฝันก็ต้องทำตามความฝันให้ได้ครับ ขอขอบคุณชาวไทยทุกคนที่ช่วยส่งกำลังใจมาให้รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ช่วยนำเสนอเรื่องราวครั้งนี้ด้วย (ติดตามชมคลิปวิดีโอ บทสัมภาษณ์ นักไต่เขาหนุ่ม ณัฐพล ทรัพย์มนู พร้อมภาพบรรยากาศของการปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ทางเว็บไซต์ นสพ.เดลินิวส์ www.dailynews.co.th)
   
การเดินทางในทริปนี้นอกจากจะมีโอกาสได้พูดคุยกับนักปีนเขาชาวไทยแล้ว คณะของเรายังได้มีโอกาสตระเวนท่องแดนหลังคาโลก เนปาล ได้ชมโบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์สำคัญ ๆ หลายแห่ง โดยมี “สุจิน ขัดกิ”ไกด์ท้องถิ่นชาวเนปาล และ คุณแจน ศิริกุล ผู้ประสานงานชาวไทย พาคณะลัดเลาะตระเวนไปยังถิ่นท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศเนปาลกันแบบจุใจ
   
เริ่มต้นการท่องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ณ ใจกลางเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงประเทศเนปาล ที่ กาฐมาณฑุเดอร์บาร์เที่ยม ชม“พระราชวังหนุมานโดก้า” เป็นสถาปัตยกรรมทรงผสมระหว่างเนวาร์ ชาวพื้นเมืองดั้งเดิม กับแบบยุโรป สร้างขึ้นในราชวงศ์ซาร์หาร์ จุดเด่นของสถานที่แห่งนี้คือ เป็นพระราชวังหลวง ด้านหน้ามี รูปปั้นเทพหนุมาน ซึ่งเป็นทหารเอกของพระรามตามเรื่องในวรรณคดีรามเกียรติ์ หรือ รามายานะ ของชาวภารตะ โดยรูปปั้นหนุมานจะถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่า เฝ้าประตูวังหลวงมาเป็นเวลานับหลายร้อยปี ความเชื่อของชาวเนปาลเชื่อว่า เทพหนุมาน ซื่อสัตย์และทรงพลังจะช่วยปกป้องคุ้มครองเมืองให้ปลอดภัย อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ภายในอาณาบริเวณยังมี หอพระสันตปูร์ เป็นหอสูง 9 ชั้นใช้เป็นที่ประกอบพิธีสำคัญของราชวงศ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมี บ้านกุมารี ที่พำนักของเทพธิดาเป็นตัวแทนแห่งเทพที่บริสุทธิ์ ตัวบ้านเป็นตึกไม้ 3 ชั้นแกะสลักด้วยลายวิจิตรงดงาม 

ส่วนบรรยากาศยามเย็น ไกด์ได้พาคณะเดินแหล่งบันเทิงชอปปิง ถนนทาเมล อันลือชื่อมีร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองให้เลือกจับจ่ายซื้อหากันแบบจุใจ ไล่ตั้งแต่หนังสือ ผ้าพสามีน่า อุปกรณ์เดินเขา ใบชาอันลือชื่อ งานหิน งานลูกปัด งานแกะสลัก ทั้งไม้ ทองเหลือง กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า และของฝากกระจุกกระจิกมากมายในราคาย่อมเยา การต่อรองขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของท่าน แต่บอกได้เลยว่าราคาไม่แพงเลยสักนิด
   
แหล่งท่องเที่ยวในประเทศเนปาล นอกจากมีความงดงามของธรรมชาติและขุนเขาอันยิ่งใหญ่แล้ว สถาปัตยกรรมโบราณล้ำค่าเกือบทุกแห่งก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์เช่นเดียวกัน หลังจากเราได้มีโอกาสชมพระ ราชวังโบราณแล้วก็ได้มีโอกาสไปสักการะ วัดสวยัมภูวนาถ หรือที่ชาวเนปาลเรียกว่า วัดลิง เป็นวัดที่มีความสำคัญของเนปาล มีเจดีย์ทรงโอคว่ำ เก่าแก่ที่สุดของประเทศแถบเอเชียใต้ประดิษฐานอยู่ มีลักษณะเป็นปล้องไฉน 13 ชั้น ซึ่งมีความหมายว่า บันไดที่เดินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ รอบเจดีย์ มีฐานหลักอยู่ 5 ช่องที่เรียกว่า ทับเกษตร เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 ทิศ โดยมีการเขียนรูปดวงตาทั้งสี่ทิศขึ้นรอบขององค์เจดีย์อีกด้วย ซึ่งชาวเนปาลมีความเชื่อกันว่า รูปดวงตาทั้ง 4 ทิศ จะคอยมองคุ้มครอง ป้องกัน และสกัดกั้นสิ่งชั่วร้าย เภทภัยต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
   
จากนั้นเราได้เดินทางสู่เมืองแห่งศิลปะลลิตปูร์ หรือ ลลิตปูระ หรือ ปาทัน เมืองที่โดดเด่นและแสดงถึงความรุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์มัลละ โดยได้เข้าเยี่ยมชมเจดีย์ สร้างถวายแด่ เทพกฤษณะ สร้างในแบบเจดีย์ทรงศิขะระ มียอดเจดีย์เล็ก ๆ ถึง 21 ยอดและมีลวดลายจากวรรณคดีรามายานะ ที่เมืองปาทันนี้ยังมี วัดทองวัดพุทธ ซึ่งหลังคาทำด้วยแผ่นทองยาวทอดเป็นเส้นจรดพื้น

สำหรับไฮไลต์ของการเดินทางในทริปนี้ คงหนีไม่พ้น การขึ้นเครื่องบินชมเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งถูกขนานนามว่าหลังคาโลก มียอดเขาที่สูงติดอันดับของโลกถึง 8 ยอด แม้คณะของเราจะไม่ได้มีโอกาสปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกคือ เอเวอเรสต์ (ความสูง 8,848 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) แต่ก็ได้ชื่นชมยอดเขาเอเวอเรสต์แบบเต็มอิ่ม เพราะนักบินพาบินวนรอบ ๆ เทือกเขาให้ท่านชมอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญได้รับใบรับรองการขึ้นเครื่องบินด้วย ไกด์เนปาลบอกว่าถ้าหากใครต้องการทริปฮันนีมูนก็สามารถทำได้ไม่ยากเลย ค่าใช้จ่ายอยู่ราว ๆ 4,000-5,000 บาทต่อหัว แต่การเดินทางครั้งนี้บรรดาหนุ่มโสดขอการันตีถึงความสวยและอัธยาศัยดีของนางฟ้าชาวเนปาล ยิ้มแย้มสดใสเป็นกันเองบริการได้สุดประทับใจ
   
เมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์เนปาล อีกแห่งซึ่งเป็นอดีตราชธานีที่มีความสำคัญทางด้านการค้ากับทิเบต นั่นคือเมือง บักตาปูร์ หรือ ภักตะปูระ มีความหมายว่า เมืองที่ภักดีต่อพระเจ้า สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอนันทเทพ ในยุคสมัยเริ่มแรกแห่งราชวงศ์ โกปาละ มีความเชื่อกันว่าการสร้างเมืองนี้ เพื่อถวายแด่เทพวิษณุ มีการวางผังเมืองในลักษณะเหมือนลายที่อยู่ภายในหอยสังข์ผ่าครึ่ง เมืองนี้โดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ซึ่งยังคงอนุรักษ์ไว้ได้อย่างกลมกลืนกับสังคมปัจจุบัน ทำให้ได้รับคัดเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดังมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ Little Buddha,7 years in Tibetฯลฯ
   
ก่อนหน้านี้ได้เกริ่นไปแล้วว่า ในเนปาล มีสถาปัตยกรรมโบราณหลายแห่งได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกใครที่ชื่นชอบการเดินทางเช่นนี้เรียกว่ามาแล้วไม่ผิดหวัง วัดโพธินาถ หรือ โพธนาถ หรือ โบดานาถ วัดพุทธมหายาน ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเช่นกัน มีเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้ องค์เจดีย์เขียน รูปดวงตาแห่งธรรม ทั้ง 4 ด้าน และมีเครื่องหมาย เอกกะ หรือ เอ๊ก ในภาษาเนปาลซึ่งแปลว่า หนึ่ง อยู่ตรงกลางหน้าผาก ซึ่งมีความเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ลิจฉวี ในศตวรรษที่ 5 มีฐานรอบเจดีย์ ถึง 3 ชั้น มีความหมายเกี่ยวกับพุทธศาสนา ในเรื่องการหลุดพ้นจากกิเลสหรือ การทางเดินสู่สรวงสวรรค์ รอบฐานเจดีย์จะบรรจุพระพุทธเจ้าปางต่าง ๆ ถึง 108 ปาง บริเวณรอบองค์เจดีย์เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยของชาวทิเบต ที่เคยอพยพลี้ภัย
   
ชาวพุทธทิเบต ส่วนใหญ่มีความเลื่อมใสในศาสนา ทุก ๆ วันเมื่อออกจากบ้าน จะเดินทางมาที่องค์เจดีย์ และเดินทักษิณาวัตรรอบองค์เจดีย์ และในตอนเย็นก่อนกลับเข้าบ้านจำนวน 108 รอบทุกวัน ซึ่งขณะที่เดินรอบองค์เจดีย์นั้น มือขวาก็จะหมุนไปที่กงล้อ พร้อมกับมือซ้ายถือลูกประคำ สวดภาวนาว่า “โอม มณี ปัทท เม หุม”อยู่แบบนี้จนครบ มีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเอาพระรัตนตรัย และดวงใจของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์มาไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า 

การเดินทางของคณะชาวไทยในช่วงนั้น สถานการณ์ภายในประเทศเนปาลยังมีการประท้วงมากมาย ในการเรียกร้อง เปลี่ยนรัฐธรรมนูญและแก้ไขฉบับใหม่จึงทำให้สองข้างทางเต็มไปด้วยทหาร ถือปืนประจำการในจุดสถานที่ราชการสำคัญ ๆ ทำให้บางสถานที่เราไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชม หวังว่าประเทศที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์และสีสันอันตระการตานี้จะมีความสงบสุขเหมือนเฉกเช่น ประชาชนที่เคร่งครัดในการนับถือและความเชื่อด้านศาสนา ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดมาในช่วงหลายพันปีได้ไม่เสื่อมคลาย 
    
การเดินทางในครั้งนี้ไม่สามารถนำรายละเอียดบางช่วงบางตอนมานำเสนอได้เนื่องจากเนื้อที่มีจำกัด แต่ก็สามารถ ติดตามชมบรรยากาศเนปาลได้จากคลิป ทางเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ www.dailynews.co.th ได้อย่างจุใจตลอด 24 ชม. สุดท้ายก็ต้องขอกล่าวคำว่า...นมัสเต ครับทุกท่าน.

รู้ไว้ก่อนไปเที่ยว


ฤดูท่องเที่ยวเนปาล  ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือระหว่างเดือนตุลาคม-มีนาคม ความแตกต่างเรื่องเวลา  เวลาของเนปาล ช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง 15 นาทีอุปกรณ์ต้องเตรียม ควรเตรียมรองเท้าที่สวมใส่สบายและเดินสะดวก เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งอาจต้องเดินขึ้น-ลงเขา และขึ้น-ลงบันได พร้อมติดกระดาษทิซชูเปียก หรือเจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคไปด้วย ไม่ควรนำเครื่องประดับมีค่า และเครื่องหนังสัตว์ทุกชนิดติดตัวไป เพราะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งไม่อนุญาตให้นำเข้าไปอัตราแลกเปลี่ยน เนปาลใช้เงินสกุลรูปีเนปาล (1 บาท ประมาณ 1.78 รูปีเนปาล)

“แหล่งท่องเที่ยวในประเทศเนปาล นอกจากมีความงดงามของธรรมชาติและขุนเขาอันยิ่งใหญ่แล้ว สถาปัตยกรรมโบราณล้ำค่าเกือบทุกแห่งก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์เช่นเดียวกัน

**
Credit : http://www.dailynews.co.th

ตักบาตรเทียนเวียงสา ประเพณีบุญหนึ่งเดียวในโลก วัดบุญยืน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน

ชมประเพณีสำคัญหนึ่งเดียวในประเทศไทยของจังหวัดน่าน บรรยากาศงานบุญสุดชื่นมื่นของชาวเวียงสาประเพณีตักบาตรเทียน หนึ่งเดียวในโลก

การทำบุญในรูปแบบต่างๆที่เป็นประเพณีสืบทอดกันมาของแต่ละพื้นถิ่นในช่วงเข้าพรรษา นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้น อย่าง ประเพณีตักบาตรเทียน ถือเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของชาวจังหวัดน่านที่สืบต่อกันมาช้านาน และอาจจะเป็นประเพณีที่มีแห่งเดียวในโลกก็ว่าได้
ประเพณีตักบาตรเทียน กำหนดจัดในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปีหรือจำง่ายๆคือหลังวันเข้าพรรษา 1 วัน ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2554 โดยความเป็นมาของประเพณีนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มตั้งแต่ปี 2344 หลังจาก เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญทรงสร้างวัดบุญยืนได้ 1 ปี ซึ่งในยุคแรกเป็นประเพณีที่ทำเฉพาะวัดบุญยืนเท่านั้น ในเวลาต่อมาได้ขยายผลไปทั่วอำเภอเวียงสา ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายคฤหัสถ์

สมัยก่อนพระภิกษสามเณรจะนำเทียนที่ได้จากการใส่บาตรของชาวบ้าน ไปจุดอ่านหนังสือเรียนท่องบทสวดมนต์  เพราะในยุคนั้นยังไม่มีไฟฟ้า ถึงปัจจุบันจะมีไฟฟ้าเข้าถึงแล้ว แต่ประเพณีอันดีงามนี้ก็ถูกสืบทอดต่อมาเรื่อยๆเพราะนับเป็นงานบุญใหญ่ของชาวจังหวัดน่าน โดยทุกวันนี้เทียนที่ได้มาจากการใส่บาตรพระสงฆ์จะห่อเทียนและดอกไม้ด้วยผ้าสบงที่เตรียมมานำกลับวัดซึ่งจะมีการแบ่งปันกันทุกวัด

ในปีนี้ผมมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมใน ประเพณีตักบาตรเทียน ที่วัดบุญยืน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เป็นครั้งแรก ซึ่งต้องยอมรับว่ารู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก เพราะชาวบ้านในพื้นที่ให้ความสำคัญกับประเพณีมาก เห็นได้ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ชาวบ้านทุกคนเริ่มทยอยเข้ามาที่วัดอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งในช่วงเช้า พระภิกษุสามเณร และคณะศรัทธาสาธุชน จะนำเทียน ดอกไม้ น้ำส้มป่อยหรือน้ำอบหอม มาใส่ลงภาชนะที่จัดเตรียมไว้ภายในพระอุโบสถ อีกทั้งชาวบ้านแต่ละครอบครัวก็จะนำสำรับกับข้าวมาเตรียมถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณร พร้อมทั้งเป็นอาหารกลางวันสำหรับนักท่องเที่ยว และผู้มีจิตศรัทธาทุกคนที่เข้าร่วมงาน เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทุกคนจะได้ลิ้มรสอาหารฝีมือชาวบ้านแต่ละครอบครัว ที่ปรุงรสเพื่อนำมาทำบุญอย่างตั้งใจจริง

โดยประเพณีตักบาตรเทียนครั้งนี้ มีพระภิกษุสามเณรทั่วทั้งอำเภอเวียงสากว่า 300 รูป จาก 63 วัดเข้าร่วมพิธี หลังจากพระภิกษุสามเณรฉันท์ภัตตาหารเพลเสร็จ ต่อด้วยผู้มีจิตศรัทธารับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ในช่วงบ่ายก็มาถึงการเริ่มพิธีใส่บาตรเทียน ประธานฝ่ายคฤหัสถ์จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นมัคทายกนำกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย อารษธนาศีล 5 และประธานสงฆ์ก็จะให้ศีลผู้เข้าร่วมงานทุกคน

ต่อมาก็มาถึงขั้นตอนของการใส่บาตรเทียน พระภิกษุสามเณรจะเดินออกจากพระอุโบสถ นำคณะศรัทธาณุชนใส่บาตรเทียนนเวียนรอบโต๊ะที่ตั้งบาตรและวางผ้าอาบน้ำฝนไว้ เมื่อเสร็จพิธีใส่บาตรเทียน ก็จะกลับเข้าไปภายในพระอุโบสถเพื่อทำพิธีสูมาคารวะ(ขอขมา) ที่พระภิกษุสามเณรที่มีอายุพรรษาน้อย จะทำการขอคมาพระภิกษุที่มีอายุพรรษามากกว่า ซึ่งที่วัดบุญยืนเป็นวัดที่มีเจ้าคณะอำเภอและพระเถระที่มีอายุพรรษามากอยู่จำพรรษามาตั้งแต่อดีต

ชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธีมีให้เห็นทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ เด็กตัวน้อย ไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ นับได้หลายร้อยคน แต่พอถามคนในพื้นที่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีวัยรุ่นมาทำบุญในปีนี้น้อยลง สาเหตุอาจเป็นเพราะเหตุการณ์น้ำท่วมก่อนหน้านี้ ที่หนุ่มสาวที่อยู่ห่างบ้าน ต่างลางาน ลาเรียน มาเยี่ยมเยียนบ้านกันบ้างแล้ว ทำให้บรรยากาศไม่คึกคักเท่าที่ควร

ประเพณีตักบาตรเทียนถือเป็นประเพณีสำคัญที่มีแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งอยู่คู่กับชาวอำเภอเวียงสามาเป็นเวลาช้านาน โดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปจากสมัยก่อนแม้แต่น้อย เราจึงควรอนุรักษ์และช่วยกันรักษาประเพณีนี้ไว้ใก้อยู่คู่กับชาวเวียงสา และประเทศไทยตลอดไป

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ 
http://www.dailynews.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สารพัด เมนูกบ รสจัดจ้านอร่อยถึงใจ'อ่อมแห้งคั่วไก่'

ได้มีโอกาสไปเที่ยวโคราชมาครับ และทุกครั้งที่ผมไป ผมจะแวะกินอาหารที่ชาวบ้านในเมืองนั้นรู้จักกันมาเป็นเวลาช้านาน ซึ่งบางร้านคุณพ่อและผมเองเคยไปรับประทานมาตั้งแต่ผมกลับมาจากเมืองนอก ซึ่งเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วครับ อย่างร้านที่สัปดาห์นี้ผมกำลังจะพูดถึง นั่นคือ ร้านเจ้น้อยกระโทก
     
ร้านนี้เป็นร้านที่ทำอาหารได้อร่อยมาก ทั้งอาหารจีน อาหารไทยอีสาน หรือจะเป็นอาหารไทยแท้ ๆ ก็สามารถทำได้ครับ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสไปโคราช ผมจะนัดหมายโดยการโทรศัพท์ไปบอกที่ร้านล่วงหน้าว่าผมจะไปกินข้าวที่ร้าน และทุกครั้งที่ไปทานข้าวที่ร้านนี้ ผมก็ไม่ต้องสั่งอาหารเลยครับ เพราะเขาจะเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว
    
โดยอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ผมชอบ ซึ่งทางเจ้าของร้านจะทราบดีว่าผมชอบอะไรเพราะมาทานหลายครั้งแล้ว อีกทั้งยังมีอาหารแปลก ๆ มาให้ผมได้ลิ้มลองอีกด้วย อย่างครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาทราบว่า ผมชอบกินกบ ก็เลยมี กบทอดกระเทียม มาให้ชิม ยังมีกระดูกติดอยู่เลยนะครับ แต่ว่าข้างในเนื้อจะนุ่ม ส่วนข้างนอกจะกรอบและหอมอบอวลไปด้วยเครื่องเทศที่เขาหมักเนื้อกบซึ่งเขาหมักไว้เป็นอย่างดีครับ เมื่อมีคนสั่งก็จะเอาไปทอดให้กิน
     
สำหรับเมนูกบ ยังมีอีกหลายอย่างนะครับ มองไปมองมาเขาก็ทำ กบผัดเผ็ด มาให้  ผมกินด้วย การผัดเผ็ดกบจะต้องใส่มะเขือเยอะ ๆ ครับ ผมเองก็ชอบกินของแบบนี้เหมือนกัน ชอบกินเหมือนกับชาวบ้านที่เขากินกันเมื่อสมัยก่อนนะครับ แต่สมัยนี้ผมรู้สึกว่าคนก็เริ่มชอบกินกบเหมือนกันนะครับ  เขาผัดมาได้รสชาติจัดจ้านดี กินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยเหลือเกินครับ
     
แกงคั่วหอยขม ก็มีนะครับ อร่อยเช่นเดียวกัน น้ำแกงข้นดีครับ แต่อย่าราดน้ำแกงมาก เพราะรสชาติเผ็ดพอสมควร ตามมาด้วย คั่วหม่ำ ซึ่งเขาเอาไส้กรอกอีสานที่เรียกว่า หม่ำ ซึ่งทำจากเลือดและทำจากเครื่องในของหมูที่ทำเป็นไส้กรอกเอามาฉีก หมายถึงว่า เขาเอาหม่ำออกจากไส้แล้วเอามาคั่วให้สุก แล้วเอามาผัดคล้าย ๆ กับคั่วกลิ้ง เมื่อผมชิมแล้วอร่อยมากเลยครับ นอกจากนี้ ยังมี ต้มขาหมู ด้วยครับ น้ำซุปรสชาติใช้ได้ กลมกล่อมดี  ยังมี เต้าหู้ทอดให้กินด้วย กินเล่น ๆ เคี้ยวเพลินดีครับ น้ำจิ้มทำได้ดี อร่อยครับ ที่ร้านนี้เขาก็มี น้ำพริกเหมือนกันนะครับ ที่ทำมาให้ผมกินเป็น น้ำพริกปลาร้า และที่ขาดไม่ได้ก็ต้องมี ปลาร้าผัดแห้ง ที่ผมชอบมากครับ ทั้งน้ำพริกปลาร้า และปลาร้าผัดแห้ง อร่อยทั้งคู่เลยครับ ผมกินไม่คุยกับใครเลย มี ผัดหมี่โคราช ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินหมี่เท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นผัดซีอิ๊วเส้นเล็กผมกิน หรือจะเป็นผัดซีอิ๊วเส้นหมี่ผมก็ชอบกิน แต่ว่าถ้าเป็นผัดหมี่โคราชหรือถ้าไปปักษ์ใต้จะเป็นผัดไทไชยา ผมไม่ค่อยชอบอาหารประเภทนี้นัก แต่จะว่าไปที่ร้านนี้เขาผัดหมี่โคราชได้อร่อยนะครับ ไม่หวานเท่าไร ผมลองชิมไปคำหนึ่ง ฉะนั้นสำหรับอาหารจานนี้ผมก็เลยต้องขอไม่พูดเรื่องนี้เท่าไหร่เพราะผมไม่ค่อยชอบกิน แต่ทีมงานของผมกินกันเสียจนหมดจานเลยครับ สงสัยจะถูกปากกัน 
     
มี เมี่ยงปลา ให้ผมกินด้วย ซึ่งเป็นของที่แปลกพอสมควร ไม่เคยกินมาก่อน รสชาติเหมือนเมี่ยงคำครับ การทำนั้นก็จะเอาปลาไปชุบแป้งทอดทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ และก็กินกับเครื่องที่เป็นผัก มีน้ำจิ้มคล้าย ๆ น้ำจิ้มที่ใช้จิ้มในเมี่ยงปลาทูเลยครับ เมื่อลองชิมดู ก็อร่อยใช้ได้ครับ ต้องเคี้ยวหน่อยนะครับ แล้วก็ต้องใส่เครื่องให้พอดีกับปากของเรา ไม่เช่นนั้นจะใหญ่เกินไป เอาเข้าปากลำบากครับ 
     นอกจากนั้น ยังมี ปีกไก่ทอดน้ำปลา จานนี้อร่อยมากเลย และต้องเรียนตามตรงว่า เป็นอาหารที่ผมโปรดปรานและชอบมาก เวลากินต้องใช้มือจับนะครับถึงจะกินอร่อย ไม่ต้องกลัวมือเลอะครับ ค่อยล้างทีหลังได้
     
ยังมี ลาบเลือด มาให้กินด้วยนะครับ ซึ่งเมื่อสมัยก่อน ตอนที่ผมยังหนุ่ม ๆ อยู่ ผมกลับมาจากเมืองนอกก็ได้กินลาบเลือด เป็นซกเล็กเลยครับ เป็นเลือดจริง ๆ เลือดที่เป็นน้ำเลยครับ แดงไปหมด แต่ที่นี่ไม่ถึงขนาดนั้น ผมเลยบอกว่า ผมกลัวเป็นดีซ่านก็เลยขอให้เค้าเอาไปคั่วให้สุก เมื่อกินเข้าไปแล้วไม่อร่อยเท่าลาบเลือดสด ๆ ครับ แต่เพื่อสุขภาพที่ดี อาหารจานนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะครับ 
     
หมี่กะทิ ของที่ร้านนี้ รสชาติใช้ได้ เขาทำได้อร่อย เผ็ดและแซบมากครับ มี หางดง ด้วยครับ ทำอร่อยเหมือนกัน มี อ่อมแห้งคั่วไก่ซึ่งจานนี้ นาน ๆ ทีถึงจะได้กิน แต่ว่า ขึ้นชื่อว่า อ่อม ผมชอบอยู่แล้วครับ เพราะเป็นแกงไทยจริง ๆ คล้ายแกงเผ็ด แต่อ่อมเป็นแกงทางอีสาน มีเครื่องตำอยู่ในนั้น เป็นน้ำใส ๆ และถ้าจะให้ดีจริง ๆ ต้องมีปลาร้าใส่เข้าไปด้วยครับ
     
มาคราวนี้ได้กินอาหารจีนด้วย ซึ่งไม่ได้กินมานาน คือ กระเพาะหมูผัดเกี้ยมฉ่าย เป็นของโปรดของผมเลย ผัดมาได้เข้มข้นและอร่อยมาก ๆ ครับ ยังมีอาหารจานหนึ่ง สำหรับคนที่แก่แล้วกระมัง ผมไม่แน่ใจเหมือนกันแต่เขาเอามาให้ผมลอง เรียกว่า ข้าวแบะ คล้าย ๆ ข้าวต้ม แต่ว่าน้ำข้าวต้มจะเป็นน้ำแกงเลียง มีการใส่ผักหลาย ๆ อย่าง เข้าไป มีถั่ว มีข้าวโพด และอื่น ๆ เยอะแยะเลยครับ เมื่อชิมแล้วอร่อยครับ เหมือนกินอาหารไทยแล้วเอาข้าวลงไปคลุก 
      
ถ้าใครอยากกินอะไรที่อร่อยก็ร้านนี้เลยครับ ร้านเจ้น้อยกระโทก เป็นร้านที่มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วครับ แขกบ้านแขกเมืองก็ไปกินที่นั่นอยู่บ่อย ๆ เป็นร้านที่เรียบง่าย ผมชอบนั่งกินข้างนอก ไม่ชอบนั่งในห้องแอร์ มีความสุข สบายและเรียบง่ายดีครับ เพราะฉะนั้นอย่าลืมไปชิมที่ร้านนี้กัน ถ้าผมกลับไปที่โคราชอีก ผมก็จะแวะไปกินร้านนี้อีกครับ.

ชิมให้เป็น : ปีกไก่ทอดน้ำปลา

อาทิตย์นี้จะพูดถึงลักษณะของปีกไก่ทอดน้ำปลาว่าทำไมถึงอร่อยได้ ความจริงแล้ว ความอร่อยของอาหารจานนี้อยู่ที่ข้างนอกของปีกไก่จะต้องกรอบเกรียมนิด ๆ เวลากัดเข้าไปแล้วข้างในจะนุ่มและมีควันขึ้นมาซึ่งจะได้มีกลิ่นของน้ำปลา มีความเค็มและความหวานของเนื้อไก่อยู่นิด ๆ นี่แหละครับ คือ เสน่ห์ของปีกไก่ทอดน้ำปลา
    
วิธีการทำให้อร่อยและกรอบนั้น ก็คือ เขาต้องเอาไปหมักน้ำปลาเสียก่อน หลังจากที่เอาปีกไก่ไปหมักเรียบร้อยแล้ว เขาจะเอาไปนึ่งให้สุกก็ได้ หรือเอาไปลวกในน้ำมันที่ไม่ร้อนจนเกินไปนักเพื่อปีกไก่จะได้ไม่ไหม้ก็ได้ โดยจะลวกไม่ให้เหลืองแต่ให้พอสุก ๆ แล้วก็ตักขึ้น ทิ้งไว้ให้เย็น
    
จากนั้น เวลาจะเสิร์ฟก็เอาไก่ที่เราได้ลวกน้ำมันหรือเอาไปนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซับน้ำหรือไขมันให้ออกมา แล้วเอาลงไปทอดในกระทะที่มีน้ำมันร้อนจัด น้ำมันที่ร้อนจัดก็จะทำให้ผิวที่เหลือง กรอบในทันที เพราะว่าได้เอาน้ำมันออกไปแล้วครั้งหนึ่ง
    
การทำอย่างนี้ เป็นวิธีหรือขั้นตอนเดียวกับการทำทอด เฟรนช์ฟรายส์ เพราะตามหลักแล้ว เฟรนช์ฟรายส์จะต้องทอดครั้งหนึ่ง แล้วต้องทิ้งให้เย็นเสียก่อน จากนั้นถึงจะทอดในน้ำมันร้อน ๆ อีกครั้งหนึ่ง จะได้กรอบนอก นุ่มใน อย่างไรครับ.
เข้าครัวกับหมึกแดง : เป็ดตุ๋นสามเซียน

เครื่องปรุง

-นํ้าซุป                700    มิลลิลิตร

-เครื่องยาจีน       1    ห่อ

-หอยเชลล์แห้ง   10    ตัว แช่นํ้าให้นุ่ม
   
-ซีอิ๊วขาว             2    ช้อนโต๊ะ

-เกลือป่น             1    ช้อนโต๊ะ

-พริกไทยดำ         ตามต้องการ

-นํ้ามันหอย           2    ช้อนโต๊ะ

-เหล้าจีน              2    ช้อนโต๊ะ

-เป็ด                    1/2    ตัว

-เห็ดหอมแห้ง      10    ดอก แช่นํ้าให้นุ่ม
   
-นํ้ามันงา              1    ช้อนโต๊ะ

-แป้งมัน                1    ช้อนโต๊ะ

-คะน้าฮ่องกงลวก ตามต้องการ (สำหรับเสิร์ฟ)
             
วิธีทำ
   
1. นำหม้อตั้งไฟ ใส่นํ้าซุปลงไป ตั้งไฟให้เดือด ใส่เครื่องยาจีน หอยเชลล์แห้ง ต้มพอเดือด ลดไฟลง
   
2. ปรุงรสด้วย ซีอิ๊วขาว เกลือป่น พริกไทยดำ นํ้ามันหอย เหล้าจีน ตุ๋นไฟอ่อน ๆ
   
3. ใส่เป็ด และเห็ดหอมลงไปตุ๋น ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหรือจนกว่าจะเข้าเนื้อ
   
4. เมื่อตุ๋นได้ที่แล้ว ตักเนื้อเป็ดออกพักไว้
   
5. นำนํ้าที่ตุ๋นเป็ดมาทำซอส โดยแบ่งกรองซอสใส่หม้อเล็ก ตั้งไฟให้เดือด ผสมแป้งมันลงไปกับนํ้าซอสที่เย็นแล้วเทลงไปในนํ้าซอส ทำให้ข้น แล้วจึงใส่นํ้ามันงา และปรุงรสอีกครั้ง
   
6. ในจานเปล วางคะน้าฮ่องกงลวกลงในจาน แล้วนำเป็ดทั้งชิ้นเลาะกระดูกออกสับเป็นชิ้น เรียงลงบนผักวางรอบ ๆ จานด้วยเห็ดหอมตุ๋น และราดหน้าด้วยซอส เสิร์ฟร้อน ๆ
**
หมึกแดง
www.mcdangguide.com
**

4 คำถามน่าคิดเมื่อต้องซ่อมรถคันเก่า


ในยุคที่ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ เรารู้ดีว่าหลายคนมีภาระมากมาย แม้ปัจจุบันรถยนต์จะกลายเป็นปัจจัยที่ ในการเดินทางของคนไทย แต่วันนี้ถ้าคุณมีรถแล้วมันเกิดไม่สบาย การซ่อมมันกลับมาใช้ มั่นใจแค่ไหนว่ามันจะคุ้มค่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่คิด ซึ่งส่วนหนึ่งมันมาจากลูกเกรงใจของคนไทย ที่มักจะเออออห่อหมก โดยไม่คิดก่อนที่จะทำอะไร ทำให้บางครั้งกลายเป็นปัญหา แทนที่จะได้รถเก่าแสนดีมาใช้งานแบบเสียเงินครั้งเดียวแล้วลาจากช่างที่อู่กลับกลายต้องเวียนว่ายไปทุกวัน วันนี้ถ้าคุณกำลัง มีปัญหาใหญ่กับรถคันเก่าสุดเก๋า ลองคิดตาม 4 ข้อ ต่อไปนี้ ว่าซ่อมแล้วมันจะคุ้มค่าหรือไม่

1.ปัญหานี้แก้ได้หายขาดหรือไม่ ปัญหามากมายสามารถเกิดขึ้นได้กับรถเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกกลไกต่างๆที่ทุกอย่างมีอายุการใช้งานของมันเอง จนบางครั้งคุณต้องตกระกำลำบาก(นั่งทานข้าวลิงข้างทาง)อาจจะมาจากอายุการใช้งาน
ปัญหาของรถนั้นมีหลายสาเหตุ ที่คุณสามารถเข้าใจได้แต่ที่สำคัญ คุณต้องรู้ว่ามันจะซ่อมให้หายขาดได้หรือไม่ด้วย โดยเฉพาะเมื่อเสียเงินแล้ว ต้องเสียให้คุ้มกับการใช้งานในอนาคตข้างหน้า อย่างเช่นเครื่องพัง การยกเครื่องใหม่อาจเป็นทางออกที่ดีกว่า หรือเป็นไปได้ลองศึกษาดูว่ามีอะไหล่รถรุ่นไหนสามารถทดแทนกันได้หรือไม่ แล้วลองคิดตามว่าถ้าทำมันจะหายจากอาการที่เป็นหรือเปล่า ซึ่งส่วนหนึ่งต้องปรึกษาผู้รู้ที่ไม่ใช่ช่างที่คุณนำรถไปซ่อม
2. ราคาค่าใช้จ่าย ทุกครั้งที่รถเสียมันหมายถึงเงิน และในยุคนี้มันก็หายากเสียด้วย ซึ่งคุณจำเป็นต้องศึกษาดูถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อม ว่าราคานี้เป็นราคาที่รับได้หรือไม่ อะไรที่จะถูกเปลี่ยนใหม่ อะไรที่จะยังใช้ของเก่า ของแบบนี้ต้องศึกษาให้ดี ที่สำคัญอย่าวางใจให้อู่ทำงานแล้วเช็คบิลทีหลัง
อู่ที่ได้มาตรฐานจะประมาณการงบประมาณได้ก่อนทำงาน ซึ่งตรงนี้อาจจะประวิงเวลาให้คุณคิดก่อนตัดสินใจซ่อมแซมรถสุดที่รัก และพยายามสอบถามจากผู้ใช้รถรุ่นเดียวกันกับคุณหรือเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์ ว่าราคาที่ได้มาสมเหตุผลหรือไม่
3. ผลที่ตามมาหลังซ่อม ในข้อแรกเราให้คุณถามว่าหายขาดหรือไม่ แน่นอนบางอย่างสามารถทำได้แล้วหายเป็นปลิดทิ้งแถมดีกว่าเสียอีก แต่ข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือว่า เมื่อมีงานแปลงบางอย่างอาจไม่เป็นไปอย่างที่คิด และบางครั้งอาจนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายภายหลัง เช่น วางเครื่อง คุณอาจต้องเซทช่วงล่างเพิ่ม เพราะน้ำหนักเครื่องมากกว่าที่ช่วงล่างจะรับได้ เป็นต้น ซึ่งเรื่องแบบนี้อู่มักไม่บอก แต่เมื่อคุณทำการดัดแปลงไปแล้วรถคันนั้นจะราคาตกทันที เพราะฉะนั้นควรคิ
4. คันนี้ใช้คุ้มพอรึยัง หลายคนมักจะคิดว่าตัวเองยังใช้รถไม่คุ้มค่า ที่บางคนรถหลาย 10 ปี ก็ซ่อมแล้วซ่อมอีก จนสุดท้ายเหนื่อยซ่อมนำไปสู่การขายทิ้งซื้อใหม่ในอนาคตอันใกล้อีกอยู่ดี แน่นอนเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วมากมาย เราเลยอยากให้มองว่ารถคันนี้คุ้มทุนแล้วหรือยัง โดยเฉพาะ ถ้ารถคันนั้นมีอายุ เกิน 7 ปี หรือมีระยะทางเกิน 1.5 แสนกิโลเมตร มันอาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรถใหม่
หลายคนมักคิดว่าเพิ่งผ่อนหมดจบหนี้ทำไมต้องเร่งให้ซื้อรถใหม่ ทว่ารถเก่าก็เหมือนคนแก่ ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นประจำสม่ำเสมอในทุกชิ้นส่วน และยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่ค่อยมีเวลาหรือไม่ค่อยถนัดเกี่ยวกับรถยนต์นัก การนำมันไปแลกเปลี่ยนคันใหม่มาขับแบบสบายใจ แล้วคิดว่าไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายกับอู่ ที่อาจทดแทนด้วยค่าผ่อนรถรายเดือน มันน่าจะคุ้มกว่าไหม แถมรถใหม่ๆยังมีสมรรถนะที่ดีขึ้นและประหยัดมากขึ้นด้วยดรอบคอบถึงผลระยะยาวด้วย
ข้อนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้หนักมากๆ โดยเฉพาะเมื่อรถคุณต้องซ่อมหนัก ไม่ว่าจะระบบเครื่องยนต์หรืออื่นๆที่จะทำให้รถคันนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากคุณจะไม่ต้องเสียเวลา วิ่งเข้า-ออกอู่ให้วุ่นวายและรถใหม่ๆประหยัดมากขึ้นแล้ว คุณยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นจากสมรรถนะที่ดีขึ้นของรถคันใหม่
 ***
Credit : http://auto.sanook.com