วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโกเชิญชวนคนไทยลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโกเชิญชวนคนไทยลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร



ที่ 1/2554 

เรื่อง การปรับปรุงทะเบียนรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร


ด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต) กำหนดแนวทางที่จะปรับปรุงทะเบียนรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร สถานกงสุลใหญ่ฯ จึงขอประชาสัมพันธ์เชิญชวน (ผู้มีสัญชาติไทยที่มีอายุตั้ งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง) โดยพำนักอยู่ในเขตอาณาของสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้แก่ มลรัฐ Arkansas, Illinois, Indiana, Iowa, Kansas, Kentucky, Michigan, Minnesota, Missouri, Nebraska, North Dakota, Oklahoma, South Dakota, และ Wisconsin เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรดังนี้

1. กรณีผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร และประสงค์จะใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ณ สถานกงสุลใหญ่ฯ ให้กรอกแบบคำร้องขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร 

2. กรณีผู้ที่เคยลงทะเบียนเลือกตั้ งนอกราชอาณาจักรไว้แล้วนั้ น ประสงค์จะย้ายกลับไปใช้สิทธิเลือกตั้ ง ในประเทศไทย โดยไม่ได้แจ้งถอนชื่อออกจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรกับทาง สถานกงสุลใหญ่ฯ สามารถที่จะแจ้งกับทางนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ประเทศไทย หรือได้ย้ายถิ่นที่อยู่ไปยังอีกประเทศหนึ่ง หรือเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาจากเดิมที่เคยลงทะเบียนไว้ ให้กรอกแบบคำร้องขอเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร 

ทั้งนี้ กรุณาส่งแบบคำร้องขอใช้สิทธิเลือกตั้ง/ ขอเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทาง มายังสถานกงสุลใหญ่ฯ เลขที่ 700 N. Rush St, Chicago, IL 60611 และหากท่านมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 312-664-3129 ต่อ 124 และโทรสาร 312-664-3230 ระหว่างเวลาราชการ 09.00 น. – 16.30 น. และสามารถดาวน์โหลดได้ที่แบบคำร้องขอใช้สิทธิ เลือกตั้ง/ ขอเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรได้ที่ http://www.thaiconsulatechicago.org/ 

จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน 

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก 
25 กุมภาพันธ์ 2554 

ที่มา: เว็บไซต์สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโกhttp://www.thaiconsulatechicago.org/clate/announcement/2011/Thai/OverseaElection2554.pdf

*****
Source : http://protectthaicitizen.blogspot.com/2011/04/blog-post_2231.html

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ฮันฮโยจู จอมนางคู่บัลลังก์ วงการบันเทิงเกาหลี


เป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่กำลังมาแรงคนหนึ่งของวงการบันเทิงเกาหลี และผลงานของฮันฮโยจู มีโปรแกรมเข้าฉายทางฟรีทีวีบ้านเรา เรื่อง ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ หลังจากเธอประสบความสำเร็จคว้ารางวัลแดซังประจำปี 2553 จากละครเรื่องดังกล่าว 
    
ฮันฮโยจู เกิดเมืองซองจูในเกาหลีใต้ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ปี 2530 สูง 170 เซนติเมตร น้ำหนัก 48 กิโลกรัม จบการศึกษาปริญญาตรีสาขาวิชาการละครและภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัยดองกุ๊ก เธอเข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรก จากการประกวดสาวงามในเวทีระดับวัยรุ่น และด้วยบุคลิกที่สดใส เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ที่รอยยิ้ม และความเป็นตัวของตัวเอง บวกกับความน่ารักและมีเสน่ห์ของเธอ ทำให้ฮันฮโยจูได้รับบทนำในละครซิทคอมวัยรุ่นสุดฮิตเรื่อง นิว นันสตอป ไฟว์ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็มบีซีเมื่อปี 2547 จากนั้นมาเธอก็กลายเป็นกระแสที่วัยรุ่นเกาหลี ต่างพากันพูดถึงความน่ารักสดใสในตัวของเธออย่างไม่ขาดสาย
    
ในปี 2548 ฮันฮโยจู ประเดิมผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกจาก มาย บอสส์ มาย, ทิชเชอร์ 2 หรือสั่งเจ้าพ่อไปสอนหนังสือ หนังภาคต่อสุดฮิตที่กวาดรายได้อันดับ 1 มาแล้วในเกาหลี หลังจากนั้น ฮันฮโยจู ก็พลิกผันตัวเองไปเป็นพิธีกรให้กับรายการอินกิ กาโย ทางช่องเอสบีเอส  ต่อมาในปี 2549 เธอได้รับบทนำในละครเรื่อง สปริง วอลท์ซ หรือดนตรีรักหัวใจปรารถนา และกลับมารับงานภาพยนตร์อีกครั้งในเรื่องแอด-ลิบ ไนท์ นอกจากนี้ ฮันฮโยจู ยังมีผลงานอีกหลายเรื่อง เช่น แอส มัช แอส เฮฟเว่น แอนด์ เอิร์ธ และไรด์ อะเวย์ อีกทั้งยังเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาให้สินค้าหลายตัว เช่น พิซซ่า ฮัท 
    
โดยเฉพาะเรื่องทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ฮันฮโยจู รับบทเป็นทงอี เด็กสาวที่เกิดในชนชั้นซอนมิน ชนชั้นต่ำที่สุดในสังคม ซึ่งเรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงยุคสมัยของโซซอน เกี่ยวกับคนธรรมดาที่เต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างทงอี ที่ได้เข้ามาเป็นนางสนมในพระราชวัง สุดท้ายเธอก็ได้มาลงเอยกับพระราชาซุกจง และได้กลายมาเป็นแม่ของพระราชายองโจ กษัตริย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ติดตามทงอี ฉายทุกเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ ทางช่อง 3 เริ่ม 12 มิถุนายนนี้.

วิษณุ ศิริอาชารุ่งโรจน์ http://www.dailynews.co.th/

"ออลสไปซ์" ผลใบเป็นเครื่องเทศ












http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/178693

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อมรรัตนโกสินทร์ ความยิ่งใหญ่ของรัชกาลที่ 5

ถ้าให้นึกถึงความยิ่งใหญ่ของรัชกาลที่ 5 เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยจะนึกถึงการเลิกทาส ภาพวาดฝีมือชาวฝรั่งใต้โดมพระที่นั่งอนันตสมาคมรูปทรงเลิกทาสนั้น เขียนคำอธิบายว่า “อภัยทาน” ใครได้ดูละครเรื่องนางทาสของวรรณสิริ หรือลูกทาสของรพีพร จะรู้ว่าการเป็นทาสเป็นเรื่องระทมขมขื่นนักหนา เลิกเสียได้เป็นอันว่าดี แต่มีข้อความจริงเบื้องหลังการเลิกทาสสองประการคือ แม้รัชกาลที่ 5 เป็นเจ้าชีวิต สั่งอะไรก็ย่อมได้ กลับต้องทรงใช้เวลานับสิบ ๆ ปีกว่าจะเลิกได้สำเร็จ เพราะไหนนายเงินจะขัดขวาง ไหนทาสเองก็ไม่เต็มใจเกรงว่าเมื่อเป็นไทแล้วไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร พระองค์เองก็ทรงทราบว่ากว่าลินคอล์นจะเลิกทาสได้ต้องเกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกาตายกันเป็นเบือ เรื่องนี้จึงละเอียดอ่อนมากสำหรับเมืองไทย
    
ที่ใครคิดว่าพอประกาศเลิกทาสปั๊บ ทาสก็ลุกขึ้นยืดอกสลัดโซ่ตรวน ยกมือชูกำปั้นเป็นอิสระทันทีนั้น เอาเข้าจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ต้องทรงเริ่มจากให้ทาสทุกคนมี “ค่าตัว” เพื่อจะได้หาเงินมาไถ่ ต่อมาก็ทรงกำหนด “การลดทอน” คือ ค่าตัวจะค่อย ๆ ลดลงจนเหลือน้อยพอไถ่ได้ ต่อไปจึงกำหนด “การสิ้นสุด” คือ ไถ่ไม่ไถ่ก็หมดเวลา ให้ทยอยเป็นไทได้ ระหว่างนั้นนายเงินและทาสก็พลอยปรับตัวว่าต่อไปจะเอาแรงงานมาจากไหนและทาสเองเป็นไทแล้วจะไปทำอะไรกิน
    
ข้อความจริงที่สองคือทาสนั้นเมืองไทยมีไม่มากนัก แต่ไพร่มีมากกว่าหลายสิบเท่า การเลิกไพร่จึงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นประโยชน์แก่ชายไทยแทบทุกคน ตั้งแต่สมัยอยุธยาชายไทยต้องถูกเกณฑ์แรงงานเข้าทำราชการเดือนหนึ่ง แล้วออกเวรกลับไปอยู่บ้านกับลูกเมียเดือนหนึ่งสลับกัน เรียกว่าเข้าเดือนออกเดือน เวลามีสงครามผู้หญิงเขายังเกณฑ์เป็นไพร่เลย
    
ต่อมาขยายเป็นเข้าสองเดือนหรือสามเดือน เข้า ๆ ออก ๆ อย่างนี้หลวงจะได้มีทหารไปรบ มีช่างไปก่อสร้าง มีแรงงานไว้ขุดคลอง แต่ไพร่ไม่ใคร่ได้อยู่บ้านไม่ได้ทำมาหากิน ไพร่ที่อยู่กับในหลวงเรียกว่า “ไพร่หลวง” ถ้าไปอยู่กับขุนนางคอยรับใช้เรียกว่า “ไพร่สม” ถ้ามีเงินจะไม่ไปก็ได้ให้ส่งเงินไปแทน หลวงจะได้เอาไปจ้างคนอื่นเรียกว่า “ไพร่ส่วย” พวกเรานี้ส่วนใหญ่อาจไม่ได้เป็นทาสแต่น่าจะเป็นไพร่ชนิดใดชนิดหนึ่ง รัชกาลที่ 5 ให้ยกเลิกระบบไพร่เปลี่ยนไปใช้ระบบเกณฑ์ทหารแทน พระเดชพระคุณเรื่องนี้จึงยิ่งใหญ่เท่ากับหรือมากกว่าการเลิกทาสเสียอีก
    
เมื่อเลิกไพร่แล้วพวกที่ยังประกาศตัวเป็นไพร่ชวนกันลุกขึ้นสู้กับอำมาตย์อยู่อีกจึงเป็นเพียงวาทกรรมในการปลุกระดมเรียกคนมาชุมนุม ยิ่งไปปลุกระดมกันต่อหน้าพระบรมรูปทรงม้าแล้วสงสารในหลวงพระองค์นี้นัก
    
ในปี 2425 รัชกาลที่ 5 ครองราชย์มา 14-15 ปี แต่กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ตั้งมาครบ 100 ปี ทรงโสมนัสมากว่าพระนครอยู่รอดปลอดภัยมาได้ครบศตวรรษ มีการจัดงานยิ่งใหญ่ ก่อนนั้นเคยทรงสร้างเครื่องราชฯ จุลจอมเกล้าพระราชทานเจ้านายขุนนางข้าราชการพ่อค้าราษฎรมาแล้วเพื่อตอบแทนความดีที่ “ช่วยกันบำรุงวงศ์ตระกูลและรักษาบ้านเมืองมาได้ด้วยความสามัคคี”
    
รัชกาลที่ 5 ทรงมี “เทสต์” มาก ไปต่างประเทศก็ทรงซื้อและสะสมของ ดี ๆ มาเก็บไว้เป็นมรดกของชาติจนทุกวันนี้ เช่น ชุดลายคราม จปร. เครื่องกังไสจีน ศิลปะของฟาร์แบเช่ แซฟวร์ ภาพวาดและรูปปั้นฝีมือจิตรกรประติมากรเอกของโลก ทั้งยังมีเวลาพระราชนิพนธ์ร้อยแก้วและโคลงฉันท์กาพย์กลอนต่าง ๆ ที่ไพเราะเป็นอันมาก เช่น ไกลบ้าน พระราชพิธีสิบสองเดือน เงาะป่า นิทราชาคริต


ทรงรู้ว่าระบบราชการอายุ 500 ปีของเราง่อนแง่นเต็มที จึงทรง “รีฟอร์ม” แปลว่าปฏิรูป ยุบจตุสดมภ์ 4 กรมคือ เวียง วัง คลัง นา แล้วตั้งเป็นกระทรวง โดยมีเสนาบดีเป็นหัวหน้าฝ่ายนโยบายมีปลัดทูลฉลองเป็นใหญ่ฝ่ายประจำ ทรงจ้างชาวต่างชาติเข้ามาเป็นที่ปรึกษาไปพลาง ระหว่างนั้นทรงตั้งโรงเรียนเฉพาะด้านผลิตข้าราชการพลเรือนส่งทุกกระทรวง
         
 ตั้งโรงเรียนกฎหมายผลิต นักกฎหมายส่งกระทรวงยุติธรรม ตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารผลิตทหารส่งกระทรวงกลาโหม ตั้งโรงเรียนผลิตครู ผลิตหมอ ผลิตช่างจนพอใช้ในราชการ
   
ข้าราชการสมัยก่อนไม่มีเงินเดือน เป็นเสือจับเนื้อกินเองจึงเรียกว่า “กินเมือง” ทรงเปลี่ยนเป็น “ครองเมือง” และมีเงินเดือนให้
   
ทรงจัดระบบการศึกษา จัดระบบภาษี จัดระบบการปกครองใหม่ ตั้งเป็นเมือง เป็นจังหวัด มณฑล สยามจึงเป็นเอกภาพมาได้
   
ทรงริเริ่มธรรมเนียมตัดถนน สร้างสะพาน พวกที่ขึ้นต้นว่า “สะพานเฉลิม...”  ใช่ทั้งนั้น สะพานผ่านพิภพลีลา ผ่านฟ้าลีลาศ มัฆวานรังสรรค์ก็ทรงสร้าง ทั้งยังมีพระราชศรัทธาสร้างวัดเทพศิรินทร์ วัดราชบพิธ วัดเบญจมบพิตร เรื่องวัดเบญจฯ นี้ได้เห็นพระทัยเป็นธรรมจริง ๆ เดิมคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายทูลขอให้เป็นวัดธรรมยุตตามธรรมเนียมครั้งรัชกาลที่ 4
   
ตรัสว่าวัดธรรมยุตมีมากแล้ว ขอเป็นวัดมหานิกายบ้าง แต่ธรรมยุตจะมาอยู่ก็ไม่ห้าม เรียกว่าวัดนี้สร้างเพื่อ “สงฆ์จตุรทิศ” จึงเป็นวัดมหานิกายสืบมาจนบัดนี้
   
รัชกาลที่ 5 ท่านโชคดีเพราะมี “กาละ” คือมีกาลเวลาสร้างความเจริญนานถึง 42 ปี จึงต่อเนื่องและได้ทันเห็นผลสำเร็จ มี “ธรรมะ” คือมีคุณธรรม เที่ยงธรรม ใครไม่รู้ก็ทรงแนะทรงสอน ทรงให้อภัยแก่ฝ่ายตรงข้าม ทรงใช้มาตรฐานเดียวกันปกครอง “ตั้งแต่ลูกข้าแลเจ้านายราชตระกูลลงไปถึงลูกชาวไร่ชาวนา”
   
ทรงมี “เสนา” คือมีผู้คนที่จะสนองพระบรมราโชบายต่อมาอีกหลายปีต่างก็เป็นน้องบ้าง ลูกบ้าง หลานบ้าง ขุนนางเก่ง ๆ บ้าง ดังที่ด้านการปกครองทรงได้กรมพระยาดำรงฯ  (ต้นราชสกุลดิศกุล) ด้านการช่างทรงได้กรมพระยานริศฯ (ต้นราชสกุลจิตรพงศ์) ช่วยออกแบบต่าง ๆ “ราวกับนั่งในใจฉัน” ด้านการต่างประเทศได้กรมพระยาเทววงศ์ฯ (ต้นราชสกุลเทวกุล) ด้านกฎหมายและการศาลได้กรมหลวงราชบุรีฯ (ต้นราชสกุลรพีพัฒน์) ด้านศาสนาทรงได้กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
    


ด้านการไปรษณีย์ทรงได้กรมพระยาภาณุพันธุ์ฯ (ต้นราชสกุลภาณุพันธุ์) ด้านเศรษฐกิจทรงได้กรมพระจันทบุรีฯ (ต้นราชสกุลกิติยากร) ด้านการทหารทรงได้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (สกุลแสงชูโต) กรมหลวงสิงหวิกรมฯ (ต้นราชสกุลฉัตรไชย) กรมพระนครสวรรค์ฯ (ต้นราชสกุลบริพัตร) ด้านการศึกษาทรงได้เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (สกุลบุนนาค) เป็นต้น
   
สุดท้ายคือทรงมี “จักขุมา” แปลว่ามีสายตาที่กว้างไกลหรือวิสัยทัศน์ในการพัฒนา ทรงให้คนไทยมีการศึกษา ให้เสนาบดีฝึกหัดจัดประชุมเพื่อเตรียมเป็น ครม. และเป็นรัฐสภา ทรงละเอียดลออในการกำกับดูแลราชการ เช่น เมื่อทอดพระเนตรเห็นต้นไม้ในวัดเบญจฯ ยอดด้วนก็ทรงมีจดหมายถึงเสนาบดีทันทีให้ไปดูว่า “เป็นโรคอะไร” ถนนแถววรจักรไฟตะเกียงดับทรงสั่งเสนาบดีนครบาลให้ไปดูว่า “ใครฉ้อน้ำมัน” หนังสือราชการจากหัวเมืองส่งผ่านเสนาบดีกว่าจะมาถึงพระองค์หลายวัน ทรงให้คนไปสอบว่าติดอยู่ที่ใคร นานกี่วัน ให้ปรับวันละบาทโทษฐาน “เข้าเกียร์ว่าง”
   
ทรงส่งพระราชโอรสไปเรียนวิชาการต่าง ๆ ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ รัสเซีย เยอรมนี พระราชโอรสพระองค์หนึ่งคือพระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์ไปเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยทุมบิงเง็น เยอรมนี จนจบได้ปริญญาเอกเป็นคนแรกของไทย ทำวิทยานิพนธ์เรื่องข้าว แม่ท่านเป็นเจ้าทางเหนือ เสียดายที่กลับมาไม่นานก็ปลงพระชนม์พระองค์เองทั้งที่ยังหนุ่ม
แท้ ๆ
   
รัชกาลที่ 5 มีพระมเหสีเทวี เจ้าจอมหม่อมพระสนมมากน่าจะมากที่สุด แต่มีพระราชโอรสธิดารวมกัน 77 พระองค์ (น้อยกว่ารัชกาลที่ 4) พระองค์ที่ 76 คือ สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ ต่อไปได้เป็นรัชกาลที่ 7 ส่วนพระองค์ที่ 77 เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงประสูติได้เดือนเดียวก็สิ้นพระชนม์
   
สิ้นรัชกาลที่ 5 พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ประสูติจากพระอัครมเหสีจึงได้ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 6
   
คนไทยเรียกรัชกาลที่ 5 ว่า “พระปิยมหาราช” ปิยะแปลว่าที่รัก ทั้งนี้เพราะทรงมีกาละ ธรรมะ เสนา และจักขุมา หลายคนบวงสรวงเซ่นไหว้พระองค์ทุกวันอังคาร เพราะบนอะไรก็มักได้ตามนั้น โดยเฉพาะว่ากันว่าบนด้วยซิการ์ (แปลกแท้!) จนเรียกท่านว่าเสด็จพ่อ ร.5 นักการเมืองคนไหนถ้าเอาความวิเศษของท่านเรื่องกาละ ธรรมะ เสนา จักขุมามาใช้สัก 1 ใน 10 คงนั่งอยู่ในใจประชาชนได้ตลอดกาล.
วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รางจืด...ราชาแห่งยาแก้พิษ

รางจืด ตำนานเล่าขานยาวนานในสังคมไทย เพราะชื่อเสียงหนักหนาในการเป็นยาแก้พิษ

เมื่อ พ.ญ.พาณี เตชะเสน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เห็นแมวรอดชีวิตจากยาเบื่อด้วยรางจืด จึงได้วิจัยรางจืดในการแก้พิษยาฆ่าแมลงในปี 2523 จากนั้นจนถึงปัจจุบัน

มีรายงานศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการแก้พิษต่าง ๆ ทั้งพิษจากยาฆ่าแมลง สารหนู สตริกนิน ตะกั่ว เหล้า รวมไปถึงการบำบัดการติดยาเสพติดในกลุ่ม

ยาบ้าและโคเคน

รางจืดยังช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีความหวังน้อยนิดในการรอดชีวิตจากพิษในการกินยาฆ่าหญ้า กินไข่แมงดาทะเลที่เป็นพิษ หรือกินรากขอบชะนางแดงเกินขนาด 

วันนี้รางจืด...เป็นอะไรที่มากกว่ายาแก้พิษ

รางจืดเป็นยาเย็น แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ใช้ปรุงเป็นยาเขียวถอนพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดง

รางจืดยังเป็นหมอผิวหนังชั้นยอด แม่หอมยามักบอกว่า อาบน้ำรางจืดต้มผิวพรรณจะผุดผ่อง รากรางจืดฝนกับน้ำซาวข้าวทาหน้า หน้าจะขาว สิวฝ้าจะไม่มี

รางจืดยังมีสรรพคุณแก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่าง ๆ แพ้สารพิษในแม่น้ำที่น้ำเน่า แก้เริม งูสวัด ถอนพิษปวดแสบปวดร้อนจากไฟไหม้น้ำร้อนลวก ซึ่งปัจจุบันมีการยืนยันจากรายงานการศึกษาบอกว่า รางจืดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และต้านไวรัสโรคเริมได้ดี

รางจืดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอันดับต้น ๆ มีแนวโน้มจะนำมาใช้ปกป้องสมองจากการทำลายของสารพิษ และป้องกันพิษจากการได้รับเคมีบำบัดใน
ผู้ป่วยมะเร็ง

รางจืดยังเป็นยาทำให้เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย แก้ซางในเด็กน้อย แก้ตับเคลื่อนตับทรุด แก้พิษทำให้เกิดดีซ่าน และการศึกษาสมัยใหม่ยังพบว่า รางจืดมีฤทธิ์ป้องกันตับจากการทำลายของสารพิษ

และจากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า รางจืดมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตโดยในงาน "มติชนเฮลท์แคร์ ดูแลสุขภาพ 2011" ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 มิถุนายนนี้ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจะมีการแจกต้นรางจืดฟรีจำนวน 200 ต้น 

นอกจากนี้ ยังมีการสาธิตการทำอาหารจากรางจืด สลัดรางจืด ยำรางจืด และน้ำสมุนไพรรางจืด ใครที่สนใจล้างพิษด้วยสมุนไพรไทยไม่น่าพลาดงานนี้


***
Credit : http://www.prachachat.net

"เลกซัส"อัดกิจกรรมชดเชยความรู้สึก จัด"ปาร์ตี้-แพ็กเกจทัวร์"เอาใจลูกค้าระหว่างรอรถ


เลกซัสปลื้มยอดขาย CT200h พุ่งปรี๊ดแต่ติดปัญหาส่งมอบ บริษัทแม่ระบุเร็วสุดราวเดือนสิงหาคม รอโรงงานที่ญี่ปุ่นกลับมาเดินแก้เกมเอาใจลูกค้าอัดกิจกรรมเชิงไลฟ์สไตล์ เอาใจลูกค้าระหว่างรอ "จัดแพ็กเกจ" เที่ยวหัวหิน เชื่อทั้งปีทะลุเป้า



รายงานข่าวจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากบริษัทเปิดตัวรถยนต์เลกซัส ไฮบริด รุ่นใหม่ CT200h ไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ากลายเป็นรถที่ได้การตอบรับจากกลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นอย่างดี แม้ตอนนี้จะส่งมอบรถยนต์รุ่นนี้ไปแล้วจำนวน 120 คัน ก็ยังมีเหลือค้างส่งอีก 150 คัน 



สาเหตุหลักก็เป็นเพราะโรงงานที่ญี่ปุ่นได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ โดยเฉพาะโรงงานผลิตชิ้นส่วนทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่สามารถป้อนชิ้นส่วนให้กับโรงประกอบรถยนต์ได้ ส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์เลกซัสที่ประเทศญี่ปุ่นหยุดการผลิตรถยนต์ชั่วคราวในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และโรงงานจะสามารถเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตได้ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากรถยนต์เลกซัส CT200h แล้วยังมีรุ่น RX 270 ที่ได้รับผลกระทบและลูกค้าอาจจะต้องใช้เวลารอรับรถ ซึ่งเชื่อว่าอย่างเร็วที่สุดภายในเดือนสิงหาคมนี้น่าจะทยอยส่งมอบรถทั้ง 2 รุ่นให้กับลูกค้าได้ หรืออาจจะต้องรอดูซัพพลายของชิ้นส่วนที่จะรองรับอีกครั้งหนึ่ง

"ถือเป็นโชคดีของเราอย่างยิ่ง เพราะเมื่อช่วงเปิดตัว CT200h นั้นเราได้มีการสต๊อกรถอยู่จำนวนหนึ่ง ทำให้สามารถทยอยส่งมอบลูกค้าได้บางส่วน แต่วันนี้บางสีบางรุ่นอาจจะต้องใช้เวลารอนาน โดยเฉพาะรถสีขาว แต่ก็เช่นเดียวกันบางสีบางรุ่นก็จะสามารถรับรถได้ทันที" แหล่งข่าวกล่าว

ปัญหาที่เกิดขึ้นบริษัทได้พยายามสื่อสารและทำ ความเข้าใจกับลูกค้า ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจและยังคงรอรถอยู่ แต่จะมีลูกค้าบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มที่ขายรถคันเก่าไปแล้วอาจเปลี่ยนใจไม่รอ ซึ่งบริษัทก็ยินดีที่จะคืนเงินจองให้ลูกค้าทั้งหมดถือเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ขณะเดียวกันในส่วนของยอดจองรถยนต์ CT200h และรุ่น อื่น ๆ ก็ยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

ด้านนางสาวสุทธิกัญญา ไทยเพ็ชร ผู้อำนวยการขาย บริษัท เล็กซ์ซัส กรุงเทพ จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่มีรถเลกซัสส่งมอบให้กับลูกค้านั้น บริษัทแม่และดีลเลอร์ได้พยายามสื่อสาร และทำความเข้าใจ พร้อมกันนี้ยังได้จัดโปรแกรมกับลูกค้าโดยพาลูกค้าที่สั่งจอง CT200h ไปร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวพักผ่อนที่หัวหิน 1 วัน 1 คืน

พร้อมกับจัดกิจกรรมให้ลูกค้าได้ทดสอบรถเลกซัสที่ค่ายพระราม 6 เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสสัมผัสและใกล้ชิดกับรถก่อน ถือว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี โดยในส่วนของเลกซัส กรุงเทพฯเองก็พยายามจัดกิจกรรมต่อเนื่องระหว่างกับลูกค้าที่ต้องรอรถ โดยในเร็ว ๆ นี้จะมีการจัดดินเนอร์ปาร์ตี้กันที่โรงแรมโอเรียนเต็ลอีกด้วย 

สำหรับแผนและแนวทางการทำตลาดของรถยนต์เลกซัส ก่อนหน้านี้นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า จะรุกตลาดอย่างเป็นระบบมากขึ้น รวมถึงนำเสนอโปรดักต์ใหม่ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยตั้งเป้าจะมียอดขาย เลกซัสในประเทศไทย 550-600 คัน ทั้งนี้กว่า 50% จะเป็นยอดขายเลกซัส รุ่น CT200h
**
**
**
Credit : http://www.prachachat.net/