วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"ป๋าเปรม" เป็นประธานงานประมูลภาพหาทุนให้นักศึกษาศิลปะ

"ป๋าเปรม" เป็นประธานงานประมูลภาพหาทุนให้นักศึกษาศิลปะ "สุรยุทธ์-อนุพงษ์-ดาว์พงษ์" เข้าร่วมงาน ไร้เงาผบ.เหล่าทัพ บริษัทห้างร้านดังๆ ร่วมเข้าประมูลภาพวาด 36 ภาพ

วันนี้ ( 18 ธ.ค.) เมื่อเวลา 18.00 น. ที่โรงแรมดุสิตธานี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เดินทางมาเป็นประธานในพิธีมอบทุนและประมูลจัดหาทุนส่งเสริมการศึกษาการสร้างสรรค์ศิลปะ มูลนิธิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประจำปี 2555  ซึ่งงานดังกล่าวได้จัดต่อเนื่องมากว่า 10 ปี โดยจะพิจารณาคัดเลือกนิสิตนักศึกษาด้านศิลปะ จากสถาบันที่มีการเรียนการสอนด้านศิลปะในระดับอุดมศึกษาจากทั่วประเทศ จำนวน 80 ทุน โดยพล.อ.เปรมกล่าวว่า พวกเราได้ร่วมกันทำบุญมาแล้ว12 ปี ในการมอบทุนให้กับนักศึกษา ทำให้เกิดความชื่นใจและเบิกบานใจ ตนอยากเรียนให้ทราบว่า ท่านได้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ชาติของเรา เพราะระลึกถึงนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเรียน ซึ่งผู้อื่นเห็นจะต้องยกย่องชมเชย เนื่องจากเป็นสิ่งที่ต่อยอดคุณงามความดีให้เห็น ในบ้านเมืองของเรา ในการตอบแทนคุณแผ่นดินอย่างที่ทำกันมา 12 ปี และได้มอบเงินไปแล้ว 22 ล้านบาท ขอให้โปรดภูมิใจในตนเอง ครอบครัว และวงตระกูลตัวเองว่าได้ทำความดีกับประเทศชาตินี้แล้ว

      

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความชื่นมื่น โดยพล.อ.เปรมมีสีหน้ายิ้มแย้ม โดยมีแขกผู้มีเกียรติมาร่วมงานจำนวนมาก เช่น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในฐานะประธานมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผบ.ทบ. รวมทั้งนักการเมือง อาทิ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม  และบริษัทห้างร้านต่างๆ เข้ามาร่วมประมูลภาพวาดจำนวน 36 ภาพ จากศิลปินแห่งชาติและศิลปินอาวุโส แต่ไม่มีผบ.เหล่าทัพเข้าร่วม






"ป๋าเปรม" เป็นประธานงานประมูลภาพหาทุนให้นักศึกษาศิลปะ

ที่มา นสพ เดลินิวส์

หยุดอายุแก่ไม่ได้แต่ดูแลผิวสวยได้

การดูแลผิวพรรณให้ดูดีเป็นเรื่องที่ทุกคนโดยเฉพาะผู้หญิงควรให้ความสำคัญ ยิ่งใกล้เทศกาลสำคัญต่าง ๆ มากมาย หลายคนห่วงแต่มอบของขวัญให้ผู้อื่นจนลืมดูแลและมอบของขวัญให้ตัวเอง หมอแวนด้า-พญ.ศิริวรรณ ตั้งเจริญชัยชนะ แห่งเฮลท์อเวนิวคลินิก กล่าวในงานไวท์ คริสต์มาส ปาร์ตี้ ว่า ใกล้เทศกาลแห่งความสุขอย่าลืมมอบความสุขและความสวยให้ตัวเองด้วย โดยเฉพาะผู้หญิงไม่ว่าอยู่ช่วงวัยใดควรดูแลผิวพรรณให้ดูดีเสมอ ปัญหาหลักเมื่อผู้หญิงอายุเพิ่มขึ้นได้แก่ ความหมองคล้ำจุดด่างดำสีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดจากความบกพร่องในการซ่อมแซมตัวเองของการสร้างเม็ดสี และปัญหารูปตาที่เปลี่ยนไปคิ้วตกหนังตาตกร่องน้ำตาลึกใต้ตาคล้ำ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่เบบี้แฟตบนใบหน้าสลายไปทำให้ขมับแบนแก้มตกจนเกิดปัญหาของกรอบตา การดูแลผิวพรรณเป็นสิ่งสำคัญอย่าปล่อยปละละเลยเพราะไม่สามารถหยุดอายุความแก่ได้ แต่สามารถชะลอหรือแก่อย่างสวยงามได้ และเมื่อผู้หญิงสวยจะมีความสุขเพราะฉะนั้นอย่าลืมมอบความสุขให้แก่ตัวเองด้วย
  
รับความรู้เบื้องต้นจากหมอแวนด้าไปแล้ว ลองมาฟังปัญหาของบรรดาเซเลบริตี้สาว ๆ ที่มาร่วมเปิดใจถึงปัญหาผิวพรรณต่าง ๆของตัวเอง เริ่มที่ คริสตี้-คริสติน่า เศรษฐบุตร บอกว่าไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองเพราะต้องดูแลลูกและสามี ตอนนี้อายุเพิ่มขึ้นเริ่มมีปัญหาผิวพรรณไม่สดใสและใต้ตาเริ่มมีรอยย่นมากขึ้น หลังรับฟังปัญหาหมอแวนด้าแนะว่าจริง ๆ แล้วการทำทรีตเมนต์เพื่อดูแลผิวพรรณ และการฟื้นฟูผิวสามารถเลือกประเภททรีต


เมนต์ที่ไม่ต้องเสียเวลามาก และผลอยู่ได้นาน ปัญหาผิวพรรณไม่สดใสสามารถใช้เลเซอร์ในการปรับคุณภาพผิวเป็นครั้งคราวควบคู่ไปกับการทาครีมบำรุง ส่วนริ้วรอยรอบดวงตาอาจใช้การฉีดโบท็อกซ์ช่วยปีละ 2 ครั้ง แค่นี้ก็สามารถทำให้สวยโดยไม่ต้องเข้าคลินิกบ่อย ๆ
  
ส่วนพิธีกรเซเลบริตี้ จุ๊-นาขวัญ รายนานนท์ เผยว่า มีปัญหาเรื่องใต้ตารู้สึกว่าร่องน้ำตาลึกขึ้นทำให้ดูแก่กว่าวัย หมอแวนด้าแนะว่า เมื่ออายุมากขึ้นสาเหตุของร่องใต้ตาลึกเกิดจากชั้นไขมันที่แก้มบางลงไปร่วมกับความหย่อนคล้อยของผิวหนังที่เกิดขึ้น วิธีแก้ไขที่ตรงจุดคือการเติมเต็มวอลลุ่มด้วยสารฟิลเลอร์ใต้ตาให้กลมกลืนเป็นธรรมชาติ เมื่อร่องใต้ตาถูกเติมให้เต็ม ตาจะดูสดใสอ่อนวัยลงได้ทันที ปิดท้ายที่ผู้ประกาศข่าวและดีเจ แจน-ศิรนุชโรจนเสถียร มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอหน้าดูหมองคล้ำเพราะชอบออกแดด และทำงานอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ หมอแวนด้าแนะว่า การทำงานหน้ากล้องสัมผัสแสงสปอตไลต์ทำร้ายผิวได้ไม่แพ้แสงแดด การทาครีมกันแดดและครีมบำรุงไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูสภาพผิวได้ทัน ควรทำเลเซอร์เพื่อขจัดเม็ดสีส่วนเกินเป็นครั้งคราว เน้นการทำทรีตเมนต์กระตุ้นระบบการซ่อมแซมตัวเองของผิวหนังและทำให้ผิวแข็งแรง กินวิตามินซีและคิวเทนเสริมเพิ่มสารแอนตี้ออกซิแดนท์สู้กับรังสียูวีในผิวหนัง.

“อินสตาแกรม” ฮอตฮิตเกาะติดชีวิตเซเลบฯ

ในรอบปีมังกรทองที่กำลังจะผ่านไปมีหลายเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีไฮสปีด ที่มาแรงแซงทุกอย่าง แรงชนิดที่เรียกว่า...ใครตกเทรนด์เป็นเชยแหลก ต้องยกให้ “อินสตาแกรม” (Instagram) ที่เป็นเหมือนโรคติดต่อที่ระบาดในหมู่ดารา เซเลบริตี้จนกลายเป็น “อินสตาแกรมฟีเวอร์” ด้วยคุณสมบัติแชร์รูปภาพ พร้อมกับแบ่งปันประสบการณ์เป็นตัวอักษรได้ง่ายและรวดเร็วเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอ โลกทั้งใบก็ถูกย่อให้อยู่บนฝ่ามือ “ใคร! ทำอะไร! ที่ไหน! กับใคร!!” เรื่องจริงตัวจริงพร้อมถูกเปิดเผยออกสู่สาธารณะ ทำให้ชีวิตไม่ลับ ๆ ล่อ ๆ อีกต่อไป และด้วยความฮอตฮิตติดลมบนของอินสตาแกรม ดาราสาวสุดฮอต อาทิ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, ชมพู่-อารยา เอฮาร์เก็ต มีแฟนคลับฟอลโลว์อินสตาแกรมอยู่ในอันดับต้น ๆ ส่วนเซเลบฯ ชื่อดังหลายต่อหลายคนทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ก็ใช่ย่อย หันมาเปิดประตูถวายตัวเป็นสาวกอินสตาแกรมกันมากมายทั้งเพื่อความสนุกสนาน บันเทิงเริงใจ และที่สำคัญมีแฟนคลับฟอลโลว์ไม่น้อยหน้าเช่นกัน

  
ทีนี้มาดูกันว่า ชีวิตติด “อินสตาแกรม” ในแวดวงเซเลบฯ มีใครกันบ้าง พร้อมกับสัมผัสหลากหลายมุมมองของคนเล่นอินสตาแกรม “ตือ-สมบัษร ถิระสาโรจน์” ที่ติดแอพอินสตาแกรมงอมแงม และถือว่าเป็นผู้บุกเบิกสร้างกระแสอินสตาแกรมให้เป็นที่นิยมกลายเป็นเทรนด์ที่ทุกคนต้องอัพเดทตามกัน ในแต่ละวันแชร์รูปภาพให้ชาวออนไลน์ได้ชมไม่ต่ำกว่า 10-30 รูป ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา จากการแนะนำของเพื่อนสนิท  รูปที่เจ้าแม่อีเวนต์



โพสต์ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงาน เพราะทำงานเกี่ยวกับการจัดอีเวนต์อยากแชร์ไอเดียต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเพื่อน ๆ ลูกค้า กระทั่งคนที่มาติดตามอินสตาแกรมของเราให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ซึ่งเป็นคอนเซปต์ของอินสตาแกรมในการร่วมแบ่งปันความสุขและประสบการณ์ดี ๆ อยู่แล้ว เพราะนอกจากทำให้รับรู้ข่าวสาร สถานการณ์ต่าง ๆ ยังเป็นช่องทางของการเชื่อมโยงความผูกพันระหว่างกัน ส่วนตัวมีเพื่อนที่อยู่ทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ การเล่นอินสตาแกรมทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ไกลกันเลย และยังมีการใช้เป็นช่องทางขอความช่วยเหลือในช่วงเวลาที่เดือดร้อน ถ้าใช้ในทางที่ดีก็จะเกิดประโยชน์มาก และตรงข้ามถ้าใช้ในทางที่ผิดจะเกิดผลเสียกับตัวเองอย่างแน่นอน และอยากฝากเตือนทุกคนที่ถือว่าเป็นคนสาธารณะให้ระมัดระวังการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ เมื่อมีประโยชน์ย่อมมีโทษหากใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ในฐานะที่เป็นคนรู้จักของสังคมจะไม่แสดงออกถึงความก้าวร้าว เชื่อว่าทุกคนย่อมมีมุมของอารมณ์เหล่านี้ แต่การระบายออกบนโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย เนื่องจากสมัยนี้การสื่อสารรวดเร็ว ผลของการกระทำอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้


คลิกชมภาพและอ่านต่อ....

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปางถวายเนตร

คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์
ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์


วิมุตติ สุข หมายถึงความสุขของพระอริยบุคคลระดับพระอรหันต์ ซึ่งมีจิตหลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นความสุขที่ไม่อิงวัตถุ ไม่อิงกามคุณคือ ความยินดีพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส



พระ พุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วก็เสวยวิมุตติสุขอยู่ 49 วัน ใน 49 วันนั้น ศิลปินสร้างพระพุทธรูปที่มีความหมายแสดงถึงอิริยาบถของการเสวยวิมุตติสุขใน ปางต่างๆ ที่ต่อมาพระพุทธรูปปางต่างๆ เหล่านี้ ได้คลี่คลายเป็นความเชื่อที่เรียกว่า พระประจำวันเกิด



เช่น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ พระประจำวันได้แก่ปางถวายเนตร เป็นพระพุทธรูปในพระอิริยาบถยืน ลืมพระเนตรจ้องไปข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองประสานกันอยู่ด้านหน้า พระหัตถ์ขวาซ้อนอยู่บนพระหัตถ์ซ้าย



สัญลักษณ์ และความหมายของพระพุทธรูปปางถวายเนตรก็คือ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในสัปดาห์แรกทรงประทับปางสมาธิ พิจารณา ทบทวนปฏิจจสมุปบาทตลอดเวลา ทั้งโดยอนุโลม ปฏิโลม คือตั้งแต่ต้นไปจนปลายและจากปลายกลับมาสู่ต้นทาง เพื่อเห็นสภาพความจริงของสังสารวัฏ



พระพุทธรูปปางถวายเนตร จึงเป็นพระอิริยาบถในสัปดาห์ที่ 2 ที่พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรไปยังต้นศรีมหาโพธิ โดยไม่กะพริบตา ก็หมายถึงทรงพิจารณาทบทวนความทรงจำต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาโดยลำดับ



ความ หมุนเวียนผันแปรอันเกิดขึ้นตามอำนาจของสังขาร (ที่แปลว่าการปรุงแต่ง) จนถึงการสิ้นสุดแห่งการปรุงแต่ง จึงมีความหมายของการค้นพบสัจธรรมอันบริสุทธิ์ และการสิ้นสุดลงของการปรุงแต่ง



การกราบไหว้พระพุทธรูปปาง ถวายเนตรแท้จริงจึงไม่ได้หมายถึงเป็นปางพระพุทธรูปสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์ ไว้สำหรับการกราบไหว้บูชา ขอพร ขอลาภ ขอยศ ขอสรรเสริญ แต่หมายถึงสัจธรรมอันบริสุทธิ์คือ พระอริยสัจ 4



พระพุทธรูปปางถวายเนตร จึงหมายถึงการแสดงสัจธรรมของพระพุทธเจ้า คือ อริยสัจ 4





ขอบคุณ นสพ ข่าวสด

มะรุมมะตุ้มอาเซียน 2มหาอำนาจขนาบข้าง


ชาติอาเซียนอย่างไทย พม่า และกัมพูชา ต่างปูพรมต้อนรับผู้นำชาติมหาอำนาจที่มาเยือนในสุดสัปดาห์นี้อย่างคึกคัก

โดย เฉพาะกับ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกา ที่มีนัดร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและชาติพันธมิตร ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 18-20 พ.ย.



หลังจากการประชุม ระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่พนมเปญ เมื่อเดือนก.ค. "จบไม่สวย" เกิดการแบ่งขั้วกันเองระหว่างสมาชิก ฝ่ายหนึ่งเอียงเข้าหาจีน และอีกฝ่ายมีสหรัฐหนุนหลัง



ไทย ในฐานะพันธมิตรเก่าแก่ที่สุดของอเมริกาในภูมิภาคนี้ ด้วยความผูกพันทางการทหารและความมั่นคงตั้งแต่สงครามเวียดนามและสงครามเย็น เคยต้อนรับผู้นำสหรัฐมาทุกยุค ย่อมไม่พลาดเตรียมการต้อนรับนายบารัก โอบามา อย่างสมเกียรติ



แต่หมายที่น่าจับตาไม่แพ้กัน คือการมาถึงไทยก่อนของ นายลีออน พาเน็ตตา รมว.กลาโหมสหรัฐ เพื่อฟื้นความสัมพันธ์ด้านการทหารเต็มพิกัด หลังชะงักไปเมื่อประชาธิปไตยไทยสั่นคลอนช่วงรัฐประหาร ก.ย.2549



สหรัฐ เพิ่งตกลงกับออสเตรเลียที่เปิดแดนให้เข้าไปติดตั้งเทคโน โลยีเรดาร์ตรวจจับขีปนาวุธของจีนได้ พร้อมข้อตกลงส่งกองเรือรบมาเพิ่มในน่านน้ำแปซิฟิก สะท้อนถึงการปรับกระบวนยุทธของ กองทัพสหรัฐเพื่อแข่งบารมีจีนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างเปิดเผย



ส่วน ไทย นายพาเน็ตตาและพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม จรดปากกาลงนามแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ ไทย-สหรัฐ 2012 พร้อมปูทางจีบไทยเข้าสู่ความตกลงหุ้นส่วนภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP



ระหว่างที่ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องชั่งใจว่าจะเข้าร่วม TPP นี้หรือไม่ ย่อมถูกจีนจับจ้องอยู่อย่างไม่กะพริบสายตา



ยิ่งมีหมายนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า จะมาเยือนไทยในวันที่ 21 พ.ย.นี้ จึงชวนให้ระทึกอย่างยิ่ง



จาก การวิเคราะห์บทบาทของสหรัฐหนนี้ รศ.ดร. ประภัสสร์ เทพชาตรี ผอ.ศูนย์อาเซียนศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า สหรัฐเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับอิทธิพลของจีนที่มีต่ออาเซียน จึงพยายามเดินหน้าเร่งกระชับสัมพันธ์เป็นการใหญ่ ทั้งที่ตลอด 41 ปีมานี้ ไม่เคยเห็นหัวอาเซียนเลยสักนิด ไม่เคยมีการประชุมในระดับผู้นำ และไม่มีความร่วมมือที่ชัดเจน



ต่างจากจีนที่มีการรวมกลุ่ม กับเราจนกลายเป็นคู่ค้าสำคัญของภูมิภาค ประกอบกับสหรัฐมีปัญหาด้านความมั่นคง และผู้ก่อการร้ายมาตลอด 10-20 ปี เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ รัฐบาลสหรัฐในสมัยประธานาธิบดีโอบามาจึงรุกเข้าสู่อาเซียนมากขึ้น



การ กระทำของสหรัฐในลักษณะนี้ เป็นยุทธศาสตร์แบบกึ่งปิดล้อม กึ่งปฏิปักษ์ คือวางกำลังทหารเข้าสู่พื้นที่แปซิฟิกเพื่อทัดทานอำนาจของจีน ขณะเดียวกันก็วางตัวเป็นคู่ค้ารายใหญ่กับจีน



จีนซึ่งไม่ใช่ ศัตรู แต่ก็ถูกมองเป็นคู่แข่งที่มีความท้าทายสูง สหรัฐเลยต้องแอบๆ ปิดล้อม แอบๆ ถ่วงดุล และเปิดเผยมากไม่ได้ว่ากำลังระแวงจีน จึงต้องใช้ยุทธศาสตร์การครอบครองเข้าตีสนิทอาเซียนเพื่อดึงให้ออกจากอิทธิพล ของจีนนั่นเอง



โอบามายังพยายามผลักดันยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ในกลุ่มความตกลงหุ้นส่วนภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ซึ่งสหรัฐจะวางตัวเป็นศูนย์กลาง



มี 4 ประเทศอาเซียนเข้าไปร่วมแล้ว ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์ ส่วนไทยกำลังจะเป็นประเทศที่ 5



เห็นได้ชัดว่าสหรัฐต้องการป่วนอาเซียน โดยแบ่งแยกกลุ่มที่มีจีนคอยหนุน กับกลุ่มพันธมิตรสหรัฐ



ผลลัพธ์ ก็คงไม่แตกต่างจากความล้มเหลวในการร่วมแถลงการณ์ประชุมอาเซียนครั้งล่าสุด ที่กัมพูชา เมื่อเดือนก.ค. ที่สหรัฐยุให้ขัดคอกับจีน จีนเองก็ถูกสหรัฐกระตุ้นให้เข้าใจอาเซียนผิดๆ นี่ยังจะมาเจอเรื่อง TPP ซ้ำรอยอีกกรณี



แม้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐจะดูราบรื่น เป็นปกติ แต่หากดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของไทยที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งการเมือง ศักยภาพเศรษฐกิจ และการทูต ไม่ได้แน่นแฟ้นเหมือนในอดีต



อีก ทั้งไทยยังสูญเสียความเป็นผู้นำอาเซียน สูญเสียบทบาทการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมถึงสูญเสียสถานะพันธมิตรชั้นหนึ่งของสหรัฐ ส่งผลให้อเมริกาต้องแสวงหาพันธมิตรใหม่ๆ แทนที่ไทย โดยเฉพาะพม่า



แต่ ไม่ใช่ว่าไทยจะหมดความหมายในสายตาสหรัฐ เพราะอย่างไรแล้ว ไทยก็มีภูมิประเทศเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค ถือได้ว่าเป็นหมากตัวหนึ่งในยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน และด้วยเหตุนี้ โอบามาจึงต้องมาไทยเพื่อดักต้นทาง



ในทางกลับกันไทยก็ต้อง พึงพาสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพทางการทหาร เศรษฐกิจ รวมถึงการถ่วงดุลอำนาจจีนเพื่อไม่ให้เข้ามาแทรกแซงภูมิภาคจนเกินไป ที่สำคัญสหรัฐเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 คุมเกมเศรษฐกิจโลก ค่าเงิน กลุ่มความร่วมมือกับอำนาจทางเศรษฐกิจ ทั้ง จี 8 จี 20 ธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ



แต่การที่ไทยจะเข้าร่วม TPP ซึ่งเป็นกรอบที่สหรัฐตั้งขึ้นมาเป็นยุทธศาสตร์โดดเดี่ยวจีนทางเศรษฐกิจนั้น หากเราตอบรับคำเชื้อเชิญก็อาจกระทบกับความสัมพันธ์กับจีน



มอง ดูด้านดี ไทยจะได้ใจอเมริกาแบบเต็มๆ จะขอความช่วยเหลือในบทบาทเวทีระดับโลกก็คงไม่มีปัญหา แต่เราจะกลายเป็นเด็กดีของอเมริกาเหมือนสิงคโปร์ จนไม่ต่างจากเบี้ยล่างของอเมริกาหรือไม่



ส่วนผลเสีย จากการที่ไทยยังไม่มีความพร้อมด้านมาตรฐานเท่ากับฝั่งสหรัฐ และตะวันตก หากเข้าไปในตอนนี้ อาจเกิดปัญหาขาดดุล เพราะถูกกีดกันเรื่องมาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อม และทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้อาจกระทบต่อการค้าเสรีอาเซียน และกลุ่มความร่วมมืออาเซียน



ต้องถามว่าไทยจะยอมให้ความ สัมพันธ์ที่บ่มสร้างมานานกับเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคต้องพังทลายลงไปหรือ ยังไม่รวมถึงมิตรภาพกับจีนที่เห็นความสำคัญของอาเซียนมาโดยตลอด จะนำงบฯกว่า 600,000 ล้านบาทมาลงทุนในภูมิภาค บวกแผนสร้างเครือข่ายคมนาคมจากจีนสู่อาเซียน เรียกได้ว่ายอมทิ้งไพ่ทุกใบเพื่อยืดไมตรีกับอาเซียน



หากไม่นับรวมเรื่องการปั่นหัวของสหรัฐที่ยุยงให้อาเซียนแตกคอกับจีนด้วยแล้ว การตัดสินใจเรื่อง TPP ถือเป็นกรณีที่น่าหนักใจจริงๆ 




ที่มา นสพ ข่าวสด

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แม่ดีเด่นฯเปี่ยมสุขสอนลูกให้เป็นคนดี

“มือของแม่นั้นคือมือช่างปั้น ขึ้นรูปอันอ่อนลออจนหล่อเหลา อยากให้เป็นงานดีที่งามเงา

 อยู่ที่คอยขัดเกลาแต่เบามือ” คำขวัญวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2555 ที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เพื่ออัญเชิญลงหนังสือของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อีกทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จแทนพระองค์ไปทรงเปิดงานวันแม่ฯ ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร


 เมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา พร้อมประทานรางวัลแม่ดีเด่นฯ ให้แก่ผู้ได้รับรางวัลแม่ดีเด่นฯ 214 ราย จากส่วนกลาง ได้แก่ ประเภทแม่ของผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ, ประเภทแม่ผู้บำเพ็ญประโยชน์, ประเภทแม่ผู้มีความมานะอดทนขยันหมั่นเพียร, ประเภทแม่ของผู้เสียสละ และประเภทแม่ผู้เป็นเกษตรกร ส่วนภูมิภาค ได้แก่ ประเภทแม่ดีเด่นแห่งชาติประจำจังหวัด และประเภทแม่ดีเด่นแห่งชาติประจำภาคของสภาสังคมสงเคราะห์ฯ และประทานโล่เกียรติคุณแก่ผู้ได้รับรางวัลลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูง ต่อแม่ 85 ราย แบ่งเป็นประเภทนักเรียน-นักศึกษา, ข้าราชการ-พนักงานรัฐวิสาหกิจ, นักร้อง นักแสดง ศิลปิน, สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป



 คลิกชมภาพและอ่านต่อที่นี่จ้ะ...

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

ยลโฉม มิสเจแปน ยูนิเวิร์ส 2012-เผยบ้านเกิดอยู่ในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ

ยลโฉม มิสเจแปน ยูนิเวิร์ส 2012-เผยบ้านเกิดอยู่ในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ


เมื่อ 2 เม.ย. เอเอฟพีรายงานผลการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ของญี่ปุ่น ซึ่งผู้ที่ได้รับตำแหน่งมีชื่อว่า อายาโกะ ฮาระ สาวสวยวัย 24 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในเมืองเซนได จ.มิยางิ อันเป็นพื้นที่ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุแผ่นดินไหว และสึนามิเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2554 ที่ผ่านมา

 คลิกชม วีดีโอ และภาพที่นี่ขอรับ...

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

เรียบ หรู สบาย ไปกับ เลกซัส จีเอส 250

เลกซัส จีเอส ใหม่เป็นรถยนต์นั่งเจเนอเรชั่นที่ 4 ของรุ่นจีเอส ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความพิเศษในทุก ๆ ด้าน และเป็นแกรนด์ ทัวริ่ง ซีดาน ภายใต้แนวคิดกะทัดรัดปราดเปรียวแต่มีพื้นที่ภายในกว้างขวาง สะดวกสบาย ภาพลักษณ์การดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเลกซัส ที่จะมาสร้างประสบการณ์ใหม่แห่งการขับขี่ และสุดยอดสมรรถนะความประหยัด
รูปลักษณ์ภายนอกออกแบบภายใต้ปรัชญาแอล-ไฟเนส โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว ตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ให้แรงเสียดทานต่ำ ไฟหน้ามาพร้อมกับระบบแอลอีดี เดย์ไทม์รูปทรงหัวลูกศร กระจังหน้ารูป “หลอดถ้วย” สะท้อนเอกลักษณ์ใหม่ของแบรนด์เลกซัสโดดเด่นไม่เหมือนใคร แนวหลังคาที่ยาวขึ้น
ภายในห้องโดยสารกว้างขวางปรับปรุงที่นั่งให้การควบคุมรถที่ดีขึ้น พื้นที่เหนือศีรษะที่สูงขึ้น 15 มม. การออกแบบตามสรีระศาสตร์ทำให้สะดวกสบายตลอดการเดินทาง และที่นั่งด้านหน้าได้ปรับระดับให้สูงขึ้น 30 มม. ที่นั่งด้านหลังสูงขึ้น 20 มม. ทำให้การเข้า-ออกของผู้โดยสารด้านหลังง่ายและสะดวกสบายขึ้น รวมทั้งมีไฟเรืองแสง แอลอีดี แอมเบียนท์
ส่วนบริเวณแผงหน้าปัดประกอบด้วยจอแสดงผลแอลซีดี ขนาด 12.3 นิ้ว ที่แสดงผลทั้งระบบแผนที่ ระบบเครื่องเสียง ระบบนำทาง สายเรียกเข้าของโทรศัพท์ และโซนการควบคุมที่ทำงานผ่านรีโมต ทัช อินเตอร์ เฟรซ การควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ด้วยเคอร์เซอร์บนหน้าจอ
ระบบปรับอากาศแบบเอสโฟลว์ ที่ควบคุมระดับลมแอร์ให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสาร ปิดช่องลมที่ปล่อยความเย็นออกสู่บริเวณที่ไม่มีผู้โดยสารนั่งอยู่ ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานของรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยระบบปรับสภาพอากาศแบบนาโน-อี ช่วยปรับความสมดุลของอากาศ เติมเต็มความบันเทิงด้วยเครื่องเสียงมาตรฐานลำโพง 12 ตัว ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายใหม่ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นจาก 430 ลิตร เป็น 530 ลิตร สามารถใส่ถุงกอล์ฟขนาดมาตรฐานได้มากถึง 4 ใบ
สำหรับระบบความปลอดภัยนั้น เลกซัส จีเอส 250 ได้ติดตั้งถุงลม 10 ตำแหน่ง และมีระบบที่ช่วยลดการบาดเจ็บบริเวณต้นคอ บริเวณที่นั่งตอนหน้า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบเข็มขัดนิรภัย กลไกการดึงกลับและผ่อนแรงดึงอัตโนมัติด้วย นอกจากนี้ยังได้ผสานการทำงานของระบบต่าง ๆ ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ การทรงตัว และการป้องกันล้อหมุนฟรีอย่างมีประสิทธิภาพ
เลกซัส จีเอส 250 ใช้เครื่องยนต์ 4 GR-FSE ขนาด 2.5 ลิตร วี 6 DOHC 24 วาล์ว ดูอัล วีวีที-ไอ ผ่านมาตรฐานมลพิษระดับยูโร 5 ส่วนค่าตัวรุ่นเอฟ สปอร์ต อยู่ที่ 4.99 ล้านบาท.
ซีดานหรู สายพันธุ์ใหม่
จากต้นกำเนิดของเลกซัสในสหรัฐอเมริกาเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว เป็นการท้าทายที่ทางโตโยต้าต้องการจะบอกให้โลกรู้ว่า “คนญี่ปุ่นหากตั้งใจจริงก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก” ซึ่งแม้จะไม่สามารถเขย่าบัลลังก์ของเบนซ์จนร่วงลงมาได้ แต่ทำให้ฝรั่งตาน้ำข้าวได้ทึ่งว่ารถญี่ปุ่นก็เจ๋งเหมือนกัน ส่วนในตระกูลจีเอสนี้ ถือว่าเป็นรถสายพันธุ์สปอร์ตซีดานที่มีกำเนิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 และได้สร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับเลกซัสมาได้ 20 กว่าปีแล้ว โดยที่รถในเจเนอเรชั่นแรกนั้น เป็นผลงานรังสรรค์ของปรมาจารย์ จูเจียโร่ จากอิตัลดีไซน์ แห่งเมืองตูริน ประเทศอิตาลี และแผนแบบนั้นก็ถูกใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ของ
จีเอสมาถึง 3 เจเนอเรชั่น ด้วยรูปลักษณ์หน้ายาว ท้ายสั้นยกสูง เน้นความลู่ลม และภายในที่เน้นเออร์โกโนมิกส์ โดยแผงควบคุมหันเข้าหาคนขับ สำหรับรถทั้ง 3 เจเนอเรชั่นในปัจจุบันยังได้รับการยอมรับว่ามีรูปทรงที่โดดเด่นและยังคงได้ รับความนิยมในหมู่ผู้นิยมซีดานสปอร์ตพันธ์ุหรู (โดยเฉพาะเจเนอเรชั่นที่ 3 นั้น ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ)
แต่สำหรับรถเลกซัส จีเอส 250 เอฟ สปอร์ต ที่เราทำการทดสอบกันนี้ ได้สร้างสรรค์รูปทรงขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ไม่มีการอิงแนวคิดของจูเจียโร่อีกต่อไป โดยหันมาใช้แนวคิดที่เรียกว่า แอล ไฟเนส ซึ่งเป็นปรัชญาด้านพื้นผิวที่แสดงออกถึงสุนทรียภาพและความลื่นไหลของพื้นผิว ที่งดงาม อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เลกซัส ในด้านของการออกแบบนั้นต้องยอมรับเลยว่าเลกซัสทุ่มเทในการที่จะสร้างจุดขาย ให้กับรุ่นจีเอส ซึ่งเป็นรถซีดานหรูขนาดกลางที่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ด้วยตนเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการออกแบบรถยนต์ระดับหรูหราก็คือ บุคลิกภาพที่งามสง่าและมีเอกลักษณ์ที่สามารถจดจำได้ ในประเด็นด้านนี้ เลกซัสในฐานะที่เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีอายุอานาม 20 กว่าปี ซึ่งหากเทียบกับรถยนต์จากค่ายยุโรปที่มีอายุขัยเกินกว่า 60 ปี แทบจะทั้งนั้น (และถ้าเป็นเบนซ์แล้วล่ะก็ มีอายุกว่า 120 ปี) เลกซัสนับว่ายังอยู่ในขั้นวัยรุ่นที่พยายามค้นหาตัวเอง แต่เลกซัสก็สามารถสร้างโฉมหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ได้ในที่สุด ฝรั่งเขาวิพากษ์วิจารณ์กันว่ากระจังหน้าของเลกซัสนี้ดูมีรูปร่างเหมือนกับ “หลอดด้าย” ซึ่งผู้เขียนเองก็คิดว่าเหมือนเช่นกัน แต่มันก็เป็นดีไซน์ที่ดูดีทีเดียว เพราะเป็นโฉมหน้าที่เคร่งขรึม จริงจัง และแฝงไปด้วยพลัง รูปลักษณ์ภายนอกมุมอื่น ๆ อาจจะดูคล้ายกับซีดานรุ่นน้อง อย่างรุ่นไอเอส แต่ก็เป็นรถยนต์ที่มีส่วนสัดลงตัว และหากมีการเน้นมัดกล้ามอีกสักนิดจะดูดีขึ้นมาก
ส่วนการออกแบบภายในนั้น นับว่าฉีกแนวจากรุ่นก่อน ๆ ไปชนิดไม่เหลือเยื่อใยใด ๆ จีเอสใหม่นี้เลือกที่จะใช้แผงคอนโซลที่แผ่ซ้ายจดขวาตามแบบสมัยนิยม หรูหราภูมิฐานมากกว่าแบบเดิม ซึ่งจุดที่โดดเด่นและเติมความขลังให้กับห้องโดยสารก็คือ นาฬิกาแบบอนาล็อก
ส่วน “ของเล่นไฮเทค” ก็นับว่าจัดมาให้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีจากอากาศยานอย่างระบบเฮด-อัพ ดิสเพลย์ (HUD) ที่จะฉายตัวเลขแสดงความเร็ว และรอบเครื่องขึ้นบนกระจกหน้ารถ ทำให้เราไม่ต้องละสายตาจากถนนมามองมาตรวัดความเร็ว หรือจอแสดงข้อมูลการขับขี่ การนำทาง และระบบความบันเทิงที่สั่งงานผ่านเมาส์อัจฉริยะที่มีระบบตอบโต้กับผู้ใช้งาน ส่วนผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ เลกซัสได้จัดรูปแบบการตอบสนองของช่วงล่าง และการตอบสนอง รวมทั้งเสียงของเครื่องยนต์ (เสียงเครื่องไพเราะจนน่าแปลกใจ!) ให้คุณได้เลือกเพียงการบิดเบา ๆ ผ่านทางลูกบิดขนาดพอเหมาะด้านหลังคันเกียร์อัตโนมัติ
สรุป นี่คือซีดานหรู พันธุ์สปอร์ต ที่คุณต้องลองให้ได้ แล้วคุณจะเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับรถยนต์จากญี่ปุ่นไปเลยก็ว่าได้.
นุ่มสบายฟิลลิ่งรถยุโรป
ป้ายแดงชวนขับอาทิตย์แรกของเดือนเมษายนนี้ได้ ลูกตาล-ปาลีรัฐ ปานบุญห้อม นักแข่งรถจากพีทีที เพอร์ฟอร์มา ดริฟท์ ทีม มาทดสอบรถยนต์เลกซัส จีเอส 250 รุ่นเอฟ สปอร์ต ลูกตาลบอกว่าดูจากแคตตาล็อกระบุว่าหน้าตาเลกซัสดูดุดัน แต่เมื่อสัมผัสตัวจริงกลับรู้สึกว่ารถราคาแพงเกินตัวเลยไม่ตื่นเต้น แต่ถ้าเป็นเลกซัสรุ่นที่ลูกตาลชอบมากคือรุ่นไอเอส 250

เมื่อเปิดประตูเข้ามาชมภายในลูกตาลยังรู้สึกเฉย ๆ อาจเป็นเพราะคาดหวังว่าน่าจะมีความโดดเด่นอลังการกับราคาที่มากกว่า 4 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ทึ่งตั้งแต่แรกเห็น แต่รถคันนี้ก็มีฟังก์ชันการใช้งานเยอะ เช่น ที่พักแขนกว้าง ห้องโดยสารโอ่โถง เบาะนั่งสบายรับกับสรีระ จอบนหน้าปัดดูง่าย ทัศนวิสัยดี แต่ที่ทำให้งงคือตัวเลขอัตราความเร็วที่แสดงบนกระจกด้านหน้าคนขับ เพราะต้องคอยขยับตัวออกมาด้านหน้านิดนึงจึงจะมองเห็นได้ชัดเจน ส่วนนาฬิกาบนคอนโซลหน้าสวยดี ดูแปลกตา ไม่ค่อยพบในรถคันอื่นเพราะทำออกมาให้ดูคลาสสิก
ลูกตาลบอกว่า ช่วงออกตัวได้ลองใช้ทั้งโหมดอีโค โหมดปกติ และโหมดสปอร์ต ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่นใช้โหมดสปอร์ต กับสปอร์ต เอส พลัส ถ้าขับในช่วงรอบระดับ 3,000 รอบ/นาทีขึ้นไป พบว่าโหมดสปอร์ต เอส พลัส ให้อารมณ์ปรู๊ดปร๊าดทันใจกว่า เปรียบเหมือนกับการใส่เกียร์รอไว้เลย แต่ว่าข้อเสียที่เห็นก็คือ รถกินน้ำมันมาก ต่างจากการใช้โหมดอีโค ที่ความเร็วรถจะค่อย ๆ ขึ้นและประหยัดน้ำมันมากกว่า
ช่วงล่างดีมาก นั่งสบายแม้ตกหลุม เจอคอสะพานไม่ค่อยมีอาการกระด้าง เมื่อเทียบกับเบนซ์ รุ่นซีแอลเอสที่ตอนเข้าโค้งเร็วรถเกาะถนนดีมากแต่เมื่อใช้ในชีวิตประจำวันจะ ขับไม่สนุกเพราะแข็งกระด้าง แต่เลกซัสคันนี้โอเคทั้งเรื่องเข้าโค้ง และการใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งทางเรียบที่วิ่งสบาย ๆ หรือถนนขรุขระ เนื่องจากช่วงล่างนุ่มนวล อย่างไรก็ตามข้อเสียของเลกซัสก็คือ ตัวล็อกไม่ทำงานเมื่อจอดรถ หรือกรณีจอดตามเนินหรือคอสะพานพบว่ารถจะไหล ลูกตาลอธิบายว่า เวลาปรับโหมดการใช้งานยุ่งยาก เนื่องจากการวางตำแหน่งฟังก์ชันใช้งาน (สำหรับดูข้อมูลในจอบนแผงหน้าปัด) ไม่เหมาะสม เพราะตัวควบคุมอยู่ใกล้ตัวมากเกินไป รวมทั้งตัวเลือกในระบบ (เคอร์เซอร์บนหน้าจอด) ทำงานเร็วเกินไป ทำให้ไม่เหมาะถ้าหากจะขับรถไปพร้อมกับการเลือกใช้ฟังก์ชัน หากเทียบกับระบบไอไดรฟ์ของบีเอ็มดับเบิลยูที่ใช้การหมุนล็อกคอนโทรลได้ ง่ายกว่า
“ฟังก์ชันการใช้งานค่อนข้างยาก คนขับไม่สามารถมานั่งเล่นฟังก์ชันอะไรได้เลย ยกเว้นใช้งานไปนาน ๆ อาจจะคุ้นเคย แต่ถามถึงความประทับใจเลกซัส จีเอส 250 ก็คือมี
ฟังก์ชันการใช้งานครบ เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม โดยรวมแล้วถือว่ารถมีดีไซน์ไม่ได้โดดเด่นออกจากความเป็นรถญี่ปุ่น แม้ว่าราคาแพง เชื่อว่าเลกซัสคงเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหาร อย่างไรก็ดี ถ้ารถราคาระดับนี้ก็ยังมีตัวเลือกในตลาดอีกเยอะ ถ้าเป็นราคาที่ขายในเมืองนอกลูกตาลคงจะให้ 5 ดาวทั้งหมด แต่ในเมืองไทยคิดว่าแพงเกินไป”
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นที่ลูกตาลให้คะแนนสูงคือด้านความสะดวกสบาย ขับสบาย นั่งสบาย เบาะหลังที่กว้างใหญ่ ทำให้คนนั่งรู้สึกสบายแน่นอน จุดติคือ การดีไซน์ยังไม่ทิ้งความเป็นรถญี่ปุ่น ระบบไฟฟ้าสำหรับปรับเบาะนั่งคู่หน้าอยู่ต่ำ ทำให้ต้องคลำหาการปรับที่นั่ง.
เรื่อง เนตรนภางค์ บุญนายืน ภัทรกิติ์ โกมลกิต ภาพ กมลชนก เจริญจินดารัตน์


คลิกเข้าชมรายละเอียดที่นี่

http://www.dailynews.co.th/article/1546/19958

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

บ้านไม้สไตล์กระท่อมสวยภายในมีเฟอร์เจอร์ครบครันขนาดกำลังน่ารักมาก




บ้านแบบประหยัด

ทรงกระท่อมที่สร้างได้ง่าย


เหมาะเป็นที่อาศัยหรือพักผ่อน




ตัวบ้านใช้เหล็ก

ปลูกเสาใหญ่ๆหนึ่งต้น

และมีเสาสำรองอีกสี่มุม

ส่วนภายในตัวบ้านสร้างและแต่งด้วยไม้




ด้านหน้า...



ห้องครัว...ด้านบนเป็นชั้นลอย



แต่งด้วยกระจก...ไม่พลาดการชมวิวได้รอบๆบ้าน



หากเปิดประตูหลังบ้านจะมีปีกออกมาแบบนี้ อันที่จริงเขาออกแบบให้เปิดได้ีรอบบ้าน

เมื่อเปิดออกมาจะมีกระจกใสกันอยู่...เอาเป็นว่าเช้ามาเปิดรับแสงอาทิตย์

พอร้อนหน่อยก็ปิดไปเปิดอีกด้าน...

แบบบ้านสไตล์กระท่อมสวยหลังนี้สวยและเหมาะนำไปประยุกต์ใช้งานได้ดีที่เดียว

บ้านทรงสวยสไลต์โมเดิร์นหลังใหญ่หรูเนื้อที่เยอะสร้างเป็นออฟฟิตไปด้วยในตัว

หน้าบ้านมีสระน้ำ..หากมองไปที่ตัวบ้านจะเห็นว่าบ้านชั้นทำด้วยไม้เป็นตัวบ้าน


ปลูกตามพื้นที่ที่มีลักษณะตามรูปของที่ดิน...คือเดินตัวบ้านที่มีรูปทรงยาว





เป็นการโพสต์จากที่สุงให้เห็นเนื้อที่ใกล้เครียง...เป็นหมู่บ้านนักธุริกิจ...ทุกบ้านมีสระน้ำเหมือนๆกันหมด

เนื้อไม้สีน้ำตาลเด่นสวย

ชมรอบๆแล้ว ก็มาชมภายในบ้าง....

ด้วยว่าเป็นบ้านที่มีเนื้อเยอะ....

ใช้เป็นออฟฟิตไปด้วยในตัว...

ชมภายในมาแล้ว...มีหลายห้อง...เครื่องตกแต่งครบครัน


บ้านหลังนี้อยู่ในเมืองดาลัส..เท๊กซัส อเมริกา..เอง


ดาลัสสมญานามเมืองคาวบอยส์...แต่บ้านหลังนี้...ไม่มีกลิ่นอายของคาวบอยส์แม้แต่น้อย

สไตล์การจัดวางเฟอร์ดีมีจังหวะ...ไม่ดูเยอะไปหรือน้อยไป....เป็นการทิ้งระยะพอสวยและเหมาะ

ปกติ...ห้องหรือออฟฟิตใหญ่แบบนี้...ต้องใช้คนที่มีฝีมือไอเดียดี...มาลงคือแต่งห้องนี้ก็คงใช้ผู้ชำนาญในการตกแต่งด้วยแน่นอน

ชั้นล่างนี้ใช้พื้นที่คุมค่ามากๆ



สุดท้ายเป็นการดูห้องครัว...คาดว่าเป็นห้องที่ทำงานหนักอีกห้องหนึ่งอาจจะพอๆกับห้องรับแขก

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

บ้านหลังใหญ่โตอลังการ มีห้าห้องนอนใหญ่ไม่ใหญ่ก็ดูเอาก็แล้วกัน


ตัวตึก(บ้าน)ที่เก่าแก่แล้วมากๆแต่อยู่ในสภาพสมบูรณ์

เปียโน..ทำให้คิดถึงการเยี่ยมบ้านคุณหมึก ในรายการที่นี่หมอชิต

คุณหมึกมีเปียโนไว้ให้แขกที่มางานเลี้ยงที่บ้านเธอได้บันเทิงกัน

คุณหมึกแดงเล่าว่า..ตัวของเธอเองนะเล่นไม่เป็นหรอก...


ยังไม่เจอข้อความว่าสร้างแต่ยุดไหน...แต่พอเดาได้ว่าอายุราวๆร้อยอัพ...





เป็นห้องครัว

ชอบบ้านที่มีบันแบบนี้ ...ท่าทางน่าสนุก ได้ออกกำลังกายไปด้วยในตัว


ตรงใต้ภาพที่โชว์ไว้ตรงผนัง...มีดาบคู่อยู่ด้วยสวยแปลกดี..นี่เป็นห้องที่อยู่ชั้นสอง


อ้าวนี้ก็ห้องที่อยู่ชั้นสองเช่นกัน



ห้องนี้ก็ใช่เป็นห้องเหมือนกัน แต่ปรับให้เป็นออฟฟิต..ก็คือไว้นำงานมาทำด้วย

หากง่วงก็ไม่ต้องเดินไกล...แค่ล้มตัวลงนอนหลังสบายอิอิ

ก็เป็นบรรยากาศบริเวณ..ที่อยู่รอบๆเพื่อนบ้านด้วยกัน....


โอ้เจอแล้วๆ..เขาเล่าบ้านหลังนี้สร้างเมื่อปี 1940 ...มันนานเท่าไรแล้วละ....


อืมมม์อันที่จริงบ้านหลังนี้กำลังบอกขายอยู่น่ะ...มีใครสนใจหรือเปล่าเอ่ย?หากชอบก็เตรียมปัจจัยไว้เลยนะค่ะ


มาลงภาพต่อมีอีกไม่กี่ภาพ

ห้องนอน...

สวยเนอะ..ชอบสีอิฐของบ้าน...


คงเป็นบริเวณ..บ้านเพราะว่าบ้านหลังนี้มีสนานหญ้า..อีกทั้งมีสวน...และก็อีกด้านหนึ่งอยู่ติดกับทะเลสาบ

กลับมาชมภายในอีกครั้งแต่คนละมุนบ้าน....

สวยเนอะแม้ว่าจะเก่ามากๆ..แต่ดูยังคงทนใช้งานได้อีกร้อยกว่าปี....

ก็เหมือนอย่างที่พูด..ว่าสวย...

นี่มาแล้ว...สวนสวยๆ

นี่ก็ด้านที่อยู่ติดทะเลสาบ...

เอ้ทำไมภาพนี่เพิ่งมา...ไปหลงอยู่แน่ๆเลยกำลังจะเก็บข้าวของกลับบ้านอยู่พอดีเพราะลงภาพหมดแล้วและหมดเรื่องคุยด้วย....งั้นลากันที่ตรงเลยละค่ะ...บ๊ายยยย