วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ฮือฮาสร้างสนามเอฟ1 ทุ่ม2,500ล้านย่านบางนา-ตราด

"เฉลิม อยู่วิทยา"นายทุนใหญ่ ดึง"สิงห์-ปตท.-บินไทย"ร่วม



"เรดบูล" จับมือ "สิงห์" ผุดสนามเอฟวันเต็มรูปแบบ ทุ่มทุนกว่า 2.5 พันล้านบาท เล็งทำเลบางนา-ตราด สร้างสนามแข่งฟอร์มูล่า 1 มาตรฐานโลกแห่งแรกในไทย เตรียมเดินสายชวน ปตท. การบินไทย ปูนซิเมนต์ไทย ร่วมลงขัน ดอดเจรจารัฐบาลขอสนับสนุนเต็มพิกัด ชี้สร้างชื่อให้ประเทศได้ เต็มที่ ประกาศเจรจาผู้จัดการแข่งขัน "เอฟไอเอ" ทันทีที่พร้อม คาดอีก 2 ปี ได้เห็น ดึงดูดทั้งเม็ดเงินและผู้คนจากทั่วโลกแน่นอน


นายเฉลิม อยู่วิทยา ประธานกรรมการ บริษัท เรดบูล ประเทศอังกฤษ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางกลุ่มเรดบูลมีแผนงานที่จะก่อสร้างสนามแข่งขันรถยนต์สูตรหนึ่ง (F1) ในเมืองไทย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาคเอกชนและรัฐบาล โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในการก่อสร้างสนาม 2,000-2,500 ล้านบาท เพื่อให้เป็นสนามแข่งขันมาตรฐานโลกแห่งแรกของเมืองไทย

"หลังจากที่เราได้นำรถแข่งฟอร์มูล่าวันที่ชนะการแข่งขันในปีที่แล้ว เข้ามา วิ่งโชว์บนถนนราชดำเนินเมื่อปลายปี ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับจาก คนไทยเป็นอย่างมาก ตอนแรกไม่คาดคิดว่าคนไทยจะให้การตอบรับได้มากขนาดนี้ นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้เราคิดโปรเจ็กต์ที่จะสร้างสนามการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในเมืองไทย"

ในเรื่องของการลงทุนนั้น คาดว่าจะเป็นส่วนของภาคเอกชนที่จะต้องมีการเจรจาเพื่อลงทุนร่วมกัน โดยทางเรดบูลจะร่วมกับกลุ่มสิงห์ที่จะเป็นตัวหลักในโครงการนี้ และจะมีการเชิญชวนบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นของคนไทยมาลงทุน ร่วมกัน อาทิ ปตท. การบินไทย ปูนซิเมนต์ไทย เป็นต้น ในส่วนของภาครัฐนั้น คงจะมีการสนับสนุนในเรื่องเงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ ของการลงทุน ซึ่งจะต้องมีการเจรจากันในรายละเอียดต่อไป


"เบื้องต้นได้มีการคุยกันกับคุณกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังแล้ว เป็นการคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ โดยทางคุณกรณ์ให้ความสนใจมาก คิดว่าภายในปีนี้ทุกอย่างน่าจะลงตัว และขั้นตอนต่อไปก็คือ การเจรจากับภาครัฐในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพื่อให้ทุกอย่างแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปีนี้"

ในส่วนของสถานที่จัดสร้างสนามแข่งนั้น คาดว่าน่าจะเป็นพื้นที่ในกรุงเทพฯหรือปริมณฑล โดยเน้นพื้นที่ใกล้สนามบินและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ โรงแรม ฯลฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ชมการแข่งขันและทีมแข่งที่จะเดินทางมาจากทั่วโลก

"เรามองว่าย่านถนนบางนา-ตราด น่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด เพราะใกล้สนามบินซึ่งมีการคมนาคมที่สะดวก และยังใกล้กรุงเทพฯอีกด้วย สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีสาธารณูปโภครองรับอย่างพร้อมเพรียง ที่จะสามารถรองรับผู้คนที่จะเดินทางเข้ามาชมการแข่งขันได้ ทั้งนี้แม้ว่าการลงทุนสร้างสนามแข่งขันจะไม่มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจ แต่เราก็ได้กำไรทางอ้อมจากผู้คนที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย ทั้งการประชาสัมพันธ์ประเทศโดยตรง และยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย
"


นายเฉลิมกล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการเจรจากับสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ หรือเอฟไอเอ ซึ่งเป็นผู้จัดการแข่งขัน รถฟอร์มูล่าวันนั้น คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะทางเอฟไอเอมีความสนใจที่จะเข้ามาจัดการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในเอเชียอยู่แล้ว และประเทศไทยก็เป็นประเทศที่น่าสนใจ ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกแล้ว ยังมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกด้วย 
"ผมคิดว่าทางเอฟไอเอน่าจะสนใจเมืองไทย เพราะเราเป็นประเทศที่มี เดสติเนชั่นที่ชัดเจน มีความหลากหลายของวัฒนธรรม ก่อนหน้านี้ผมก็เคยคุยกับผู้บริหารของเอฟไอเอมาแล้ว ซึ่งเขาก็มีความสนใจประเทศไทยอย่างมาก แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเราว่าเมื่อไหร่ เพื่อที่จะได้มีการเจรจากันอย่างจริงจังต่อไป"
อย่างไรก็ตาม แผนงานนี้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปีนี้ เพราะขณะนี้มีประเทศคู่แข่งในเอเชียอีกหลายประเทศ ที่ต้องการให้มีการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในประเทศของตน ล่าสุดประเทศอินเดียก็เพิ่งเซ็นสัญญาไป แต่ทั้งนี้คาดว่าในอนาคตทางเอฟไอเอจะต้องมีการจัดการเรื่องสนามแข่งอีกครั้ง โดยอาจจะยกเลิกบางประเทศไป แล้วไปแข่งในสนาม ใหม่ ๆ ของประเทศอื่น ๆ แทน
ด้านนายวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการฝ่ายพันธมิตรและกิจกรรม บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมของโครงการนี้ ซึ่งนอกจากกลุ่มสิงห์และเรดบูลที่จะเป็นตัวหลักแล้ว คิดว่าคงต้องมีการเชิญชวนกลุ่มอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาร่วมลงทุนด้วย และคาดว่าจะได้เห็นสนามการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในเมืองไทยอย่างแน่นอน
นอกจากการลงทุนในการสร้างสนามแข่งขันแล้ว อีกทางหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ การแข่งขันแบบซิตี้เรซ หรือการแข่งขันบนถนนจริง ซึ่งมีการแข่งขันอยู่ในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ เป็นต้น การจัดการแข่งขันแบบนี้ นอกจากไม่ต้องลงทุนสร้างสนามแล้ว ยังสามารถจัดการแข่งขันได้เร็วขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูผลการเจรจาระหว่างผู้ร่วมทุนอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา "กระทิงแดง" ได้จัดงาน "ราชดำเนิน เรดบูล แบงค็อก 2010" มีขบวนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อด้วยขบวนกระทิงแดงถวายพระพร ปิดท้ายด้วยการนำนักซิ่งชาวออสเตรเลีย "มาร์ก เวเบอร์" มาโชว์รันแสดงทักษะซิ่งรถฟอร์มูล่าวัน ณ บริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็น อย่างดีจากผู้คนที่หลั่งไหลมาดูจน ล้นถนนราชดำเนิน นอกจากจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการแข่งรถเมืองไทยแล้ว ยังเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จในแง่การดึงผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตอกย้ำภาพเบอร์ 1 โลกของกระทิงแดงนำไปสู่การสร้างสนามแข่งขันในครั้งนี้


ที่มา นสพ ประชาชาธุรกิจ
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02p0101310154&sectionid=0201&day=2011-01-31

โลกนี้ไม่มีของฟรี ปกป้องข้อมูล ในเว็บ'เฟซบุ๊ก

หมุนก่อนโลก

วิทยา ผาสุก wittayapasuk@hotmail.com 


โลกนี้ไม่มีของฟรี เป็นสัจธรรมที่จริงแท้แน่นอนที่สุด 

เหมือนกับบริการเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง 'เฟซบุ๊ก' (เอฟบี) ที่เปิดให้ใช้งานฟรีนั่นไง 

ถามว่าบรรดาข้อมูลภาพ ข้อความ ไฟล์มัลติมีเดีย การเขียนสถานะ บันทึก การแจ้งพิกัดที่อยู่ ข้อมูลส่วนตัว ฯลฯ
ที่เราเผยแพร่ผ่าน 'เฟซบุ๊ก' นั้นเอาเข้าจริงแล้วมันเป็น 'ของเรา' หรือของ 'เฟซบุ๊ก' กันแน่ 

คำถามข้างต้นนี้ ถ้าเราอ่าน-สังเกต terms of service หรือเงื่อนไขการใช้บริการให้ดี จะพบเลยว่า 

ทางบริษัท 'เฟซบุ๊ก' จะมีสิทธิ์นำเอาข้อมูลต่างๆ ที่เรา หรือที่คุณผู้ผ่านโพสต์ลงไปบนเว็บ 'เฟซบุ๊ก' ไปใช้งานอย่างไรก็ได้!
 


ยกตัวอย่างเช่นล่าสุด เอฟบีคิดค้นโปรแกรม 'หาเงิน' ใหม่เอี่ยม เรียกว่า 'sponsored stories' (เรื่องจากสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนเว็บไซต์) ซึ่งเป็นระบบขายโฆษณาอัตโนมัติที่ 'เฟซบุ๊ก' เริ่มทดลองขายไปแล้วให้กับบริษัทดังๆ หลายแห่ง ทั้งธุรกิจกาแฟ กางเกงยีนส์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ 
สำหรับระบบดังกล่าว ทำงานโดยการควานหา "ข้อมูล" สารพัดความเคลื่อนไหวที่เราโพสต์ หรือแสดงผ่านเอฟบี อาทิ ถ้าเราพิมพ์คำว่า 'กาแฟยี่ห้อเอ' แล้วพอดีกาแฟยี่ห้อนี่มาซื้อพื้นที่โฆษณาของเอฟบี... 

ภาพใบหน้า รวมถึงชื่อของเราที่ใส่ไว้ในโปรไฟล์ ก็จะถูก "ดึง" ไปโชว์ในหน้าโฆษณากาแฟยี่ห้อเอทันที พร้อมกับไปโผล่อยู่ตามหน้าเว็บเอฟบีของเพื่อนๆ หรือถ้าเราเปิดโหมดใช้งานเอฟบีผ่านมือถือและอนุญาตให้มีการแสดงพิกัดที่อยู่แล้วเราเดินเข้าไปในร้านกาแฟเอ ระบบก็จะทำงานในลักษณะเดียวกัน 

วิธีการ 'ป้องกัน' ก็พอมีอยู่ครับ นั่นคือ การติดตั้งโปรแกรมปลั๊กอิน 'uProtect.it' ซึ่งการใช้งานไม่ซับซ้อน เข้าไปโหลดได้เลยผ่านเว็บ http://uprotect.it โดยจะช่วย "เข้ารหัส" สิ่งที่เราโพสต์ลงเอฟบี 

จากนั้น "คนนอก" จะอ่านหรือเห็นข้อมูลได้เฉพาะ "เพื่อน" ที่เราอนุญาตให้ "ถอดรหัส" เท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม การลง 'uProtect.it' คงช่วยป้องกันได้แค่ระดับหนึ่ง ดีที่สุดคืออย่านำ "ข้อมูลสำคัญ-ข้อมูลส่วนตัวจริงๆ" ไปโพสต์ไว้ตามเว็บไซต์ทั้งหลายแหล่เด็ดขาดครับ


http://www.khaosod.co.th

จี๊ดจ๊าดลิ้มรส ชาบูตง ราเมน เมนูเส้นญี่ปุ่นแท้รสดั้งเดิม

อาหารจานเส้น ราเมน อาหารพื้นบ้านของญี่ปุ่น เป็นที่ติดอกติดใจของนักชิมส่วนใหญ่ที่นิยมและชอบสัมผัสมิติความอร่อยของอาหารจำพวกนี้อยู่ไม่น้อย 

ถ้าชอบทานราเมนเป็นชีวิตจิตใจ แนะนำ ร้านชาบูตง ราเมน ต้นตำรับการปรุงรสโดยยาสุจิ โมรึซึมิ เจ้าของรางวัลชนะเลิศราเมน จากรายการทีวีแชมเปี้ยน ที่มีสาขาแรกเริ่มในเมืองอะกิฮาบาระ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น ขยายความอร่อยมาถึงเมืองไทยที่สาขาแรกสยามสแควร์ 3 ติดกับโรงภาพยนตร์ลิโด สาขาสองที่เซ็นทรัลเวิลด์และสาขาสาม เมเจอร์ รัชโยธิน

ถึงจะมี 3 สาขาในเมืองไทย แต่ด้วยกลิ่นอายและบรรยากาศที่เข้าอารมณ์ อยากสัมผัสผู้คนที่พลุกพล่านกลางเมืองกรุง แม่พลอยเลือกชาบูตง ประเดิมสาขาแรกที่สยามสแควร์ซอย 3 และไม่รั้งรอขอประเดิมด้วยเมนูเบา ๆ อย่าง เกี๊ยวซ่า ที่ทานแล้วบอกได้เลยว่าติดใจตรงที่แป้งเกี๊ยวซ่าที่หนาพอดี แถมนุ่มละมุนในปากเสียจริง ไส้ในที่มีเครื่องปรุงผสมหลายชนิดอร่อยกลมกล่อมลงตัว

เข้าสู่เมนูหลักอย่างราเมน เริ่มต้นด้วย ทงคัสซึ ราเมน ที่มีเส้นราเมนเหนียวนุ่ม ชุ่มด้วยน้ำซุปขาวขุ่นเข้มที่ผ่านการเคี่ยวปรุงอย่างดี โรยหน้าด้วยหมูย่างสูตรต้นตำรับ แถมด้วยต้นหอมญี่ปุ่นซอย หน่อไม้และกระเทียมเจียว ถึงแม้ทุกอย่างจะเป็นสูตรลับเฉพาะที่เปิดเผยไม่ได้ แต่นักชิมราเมนแอบวิเคราะห์รสราเมน ทงคัสซึ ชามนี้ว่า หอมกรุ่นน้ำมันงาน้ำซุปเข้มข้น เพราะเจือด้วยเต้าเจี้ยวบด




คารา คารา ทงคัสซึ ราเมน เหมาะกับคนชอบราเมน รสเข้มข้นน้ำซุปสีแดง เพราะถูกปรุงรสชาติด้วยหมูสับผัดเครื่องเทศรสจัด ด้านบนวางด้วยหมูย่างและต้นหอมญี่ปุ่น เมนูถูกปากคนไม่ชอบความจืด แต่ไม่ถึงกับเผ็ดแซบเหมือนการปรุงรสชาติเผ็ดแบบอาหารไทย

โชยุ ราเมน เป็นที่ถูกปากคนชอบราเมนน้ำซุปแบบใส เส้นราเมนที่ลวกได้เหนียวนุ่มทานกับน้ำซุปโชยุรสชาติหวานหอมกลมกล่อม ส่วน โชยุ ซารุ ราเมน บะหมี่เย็นญี่ปุ่นแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ดั้งเดิมเสิร์ฟคู่กับซอสซารุร้อนที่ปรุงจากซีอิ๊วญี่ปุ่นหอมหวาน บะหมี่เย็นของชาบูตง ต่างจากบะหมี่เย็นที่อื่นตรงน้ำซุปจะร้อน ใช้ เทคนิคการทานด้วยการคีบเส้นราเมนแล้วจุ่มในน้ำซุปโชยุ แล้วลิ้มรส ต้องทานตอนร้อน ๆ ถึงจะได้รสชาติอร่อยถูกใจ



ข้าวหน้าหมูย่าง ดูธรรมดา แต่รสชาติสร้างความประทับใจให้ความสุขในการทานข้าว เมล็ดข้าวญี่ปุ่นเคี้ยวนุ่มหนึบในปาก   ทานคู่กับหมูย่างนุ่มหอมติดจมูกแล้วยังติดใจอีกด้วย ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง เต้าฮวยเย็น ทานแล้วชื่นใจซ่อนกลิ่นมะนาวเจือรสเปรี้ยวนิดมาให้ชุ่มคอด้วยสิ 

สนใจอยากทานราเมน ต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ ลองแวะไปที่ ชาบูตง ราเมน สยามสแควร์ ซอย 3 เปิดบริการวันจันทร์–วันอาทิตย์ ในเวลา 11.00-22.00 น. ติดต่อสอบถาม 0-2252-9353.




































































เรื่อง : แม่พลอย / ภาพ : สุพัตรา เมตะศิริ

ขอบคุณพิเศษ นสพ เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/

ชื่นชมดอกกาแฟบานที่ดอยผาฮี้

ความหนาวเย็นยังไม่หนีไปจากเชียงราย ทำให้เรามีความสุขที่ได้สัมผัสกับอากาศที่เย็นสบาย
    
ยิ่งได้จิบกาแฟร้อน ๆ ต่อหน้าอากาศหนาวด้วยแล้ว ให้ความรู้สึกอยากนั่งอยู่ที่เชียงรายให้นานเท่านาน
    
กาแฟที่เราแวะชิมเป็น กาแฟผาฮี้ ชงด้วยเครื่องชงทันสมัยจากนอก ทั้ง ๆ ที่เป็นกาแฟปลูกในเมืองไทย
    
เราได้รับความรู้จาก คุณดำรงศักดิ์ รอดบ้านสวน ผู้ผลิตกาแฟผาฮี้ ว่า ปัจจุบัน เฉพาะในเขตเชียงรายทางการได้นำกาแฟพันธุ์อราบิก้ามาให้ชาวเขาปลูกทดแทนฝิ่น
    
ปรากฏว่าได้ผลทั้งคุณภาพและปริมาณ ซึ่งมีเนื้อที่ปลูกกาแฟบนดอยต่าง ๆ ร่วม 4 หมื่นไร่
    
“ได้ผลผลิตถึง 3,500 ตันต่อปีทีเดียว” คุณดำรงศักดิ์ บอกให้รู้
    
ก็เพราะมีไร่กาแฟอยู่ตามดอยมากนี้เอง สมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัด จึงได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้คนไทยจากทั่วประเทศเดินทางไปชมและชิมกาแฟที่เชียงราย
    
ไม่น่าเชื่อว่า กาแฟไม่ได้มีรสอร่อยชวนติดใจเท่านั้น ดอกของมันก็ยังสวยงามด้วย
    
เนื่องจากเราไปเชียงรายก่อนวันเวลาที่กาแฟจะออก ดอก เราจึงไม่ได้เห็นดอกจริง ๆ เห็นแต่รูป
    
ดอกกาแฟมีสีขาวสด ออกดอกเป็นกลุ่ม ๆ ตั้งแต่ต้นกิ่งไปจนถึงปลายกิ่ง
    
คุณดำรงศักดิ์บอกว่า ถ้าได้ไปเห็นของจริงที่ดอยผาฮี้จะได้กลิ่นหอมของดอกกาแฟด้วย
    
ถูกแล้ว กาแฟไม่ได้มีกลิ่นหอมเฉพาะเมล็ดกาแฟเท่านั้น ดอกก็หอมเช่นกัน
    
ถ้าไร่กาแฟแห่งใดบานพร้อม ๆ กัน กลิ่นก็จะหอมอบอวลไปทั่วทั้งดอยเลยทีเดียว
    
ฟังแล้วทำให้อยากเดินทางไปที่เชียงรายอีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดอกกาแฟชวนกันออกดอก
    
น่าเสียดายที่ดอกกาแฟบานให้ผู้คนได้ชื่นชมเพียง 3 วันเท่านั้น


นับเป็นอุปสรรคไม่น้อยในการไปชมดอกกาแฟบาน เพราะจะต้องหาจังหวะให้ตรงพอดี หรือไม่ก็ต้องขึ้นไปกางเต็นท์นอนในไร่กาแฟเสียเลย เพื่อจะได้ไม่ผิดหวัง
    
ซึ่งผมเชื่อว่า วันนี้อาจไม่มีนักท่องเที่ยวยอมลงทุนถึงขนาดไปนอนกางเต็นท์เพื่อรอดูดอกกาแฟ
    
ทว่าในอนาคตไม่แน่ ทั้งนี้ก็เพราะความสวยงามของดอกกาแฟเป็นเสน่ห์ให้หลายคนอยากไปเห็นเพื่อเป็นบุญตา
    
ถึงตรงนี้ได้รับคำแนะนำว่า หากผู้ใดตั้งใจจะไปชมดอกกาแฟให้ไปชมได้ที่
    
ดอยช้างและดอยวาวีในเขตอำเภอแม่สรวย (โทร.0-5378-6095)
    
บ้านพนาสวรรค์ ตำบลแม่สลองนอก ในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง (โทร.0-5376-3506)
    
บ้านปางขอน ตำบลห้วยชมพู ในเขตอำเภอเมืองเชียงราย (โทร.0-5371-1990)
    
บ้านผาฮี้ ในเขตอำเภอแม่สาย (โทร.0-5373-1718)
    
เชียงรายมีสถานที่ท่องเที่ยวมากเหลือเกิน ทั้งที่เป็นธรรมชาติจัดไว้ให้ และที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
    
ใครไปเที่ยวเชียงรายแต่ละครั้งจึงไม่จำเป็นต้องไปซ้ำที่เดิม
    
ครั้งแรกอาจขึ้นไปเที่ยวดอยตุง ข้ามไปต่างประเทศในเขตพม่าที่แม่สาย แล้วแวะกินสับปะรดนางแล ก่อนเข้าไปชมบ้านดำของศิลปินระดับโลกนาม ถวัลย์ ดัชนี
    
ครั้งต่อไป ควรไปเที่ยวที่สามเหลี่ยมทองคำ
ชมพิพิธภัณฑ์ฝิ่น แวะซื้อผลไม้จากเมืองจีนและชมเมืองเก่าโบราณที่เชียงแสน ก่อนเลยไปที่เชียงของ เมืองชายแดนไทยกับลาว
    
จะนอนพักที่เชียงของ หรือจะย้อนกลับมาพักที่ตัวเมืองก็ได้

การได้พักที่ตัวเมืองทำให้ได้ชมเมืองทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เพื่อจับจ่ายซื้อของที่ถนนคนเดิน
    
หากไปเชียงรายอีกครั้งก็ให้ไปที่ดอยแม่สลองเพื่อชมดอกซากุระบาน และวิถีชีวิตของคนจีนยูนนานที่ตกค้างอยู่ในเมืองไทย สมัยที่เหมาเจ๋อตุงรุกไล่เจียงไคเช็คให้ไปอยู่ที่ไต้หวัน หรือไปที่ภูชี้ฟ้าเพื่อนอนดูท้องฟ้าก็ได้
    
ยังมีที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งมาก หรือจะไปทำบุญไหว้พระ 9 วัดก็ทำได้ไม่ยาก
    
ทั้ง ๆ ที่เชียงรายมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและโบราณสถานเต็มไปหมด แต่ทางจังหวัดก็ยังไม่เกียจคร้านที่จะจัดงานขึ้นมาทั้งปี
    
เริ่มตั้งแต่ปีใหม่มาแล้วที่มีงานเทศกาลดอกไม้บาน
    
พอต้นปี จัดให้มีงานขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำ
    
แล้วก็จัดงานไปเรื่อย ๆ ทุกเดือน เช่น งานชิมกาแฟสดรสดีที่ดอยช้าง
    
งานชิมอาหารจีนยูนนาน งานแสดงสินค้าและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง งานพ่อขุนเม็งรายมหาราช งานเทศกาลดอกเสี้ยวบานบนภูชี้ฟ้า งานสรงน้ำพระธาตุเจ้าดอยตุง และที่น่าสนใจก็คืองานสงกรานต์ทั้งที่เชียงแสนและที่อำเภอเมือง งานประเพณีปีใหม่ลูกข่างของชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า
    
ยังมีงานอีกเยอะแยะมาก ถ้าบอกทั้งหมด เนื้อที่ไม่พอลงพิมพ์
    
เอาเป็นว่า ถ้าผู้ใดจะไปเที่ยวเชียงรายก็ให้ไปเที่ยว ณ สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ส่วนงานที่ทางจังหวัดจัดให้ถือว่าเป็นผลพลอยได้ก็แล้วกัน แต่ถ้าจะไปชมดอกกาแฟบานสะพรั่งทั้งดอย ควรโทรศัพท์สอบถามไปก่อน จะได้ไม่ผิดหวัง
    
เหตุที่ทางจังหวัดเชียงรายได้จัดงานขึ้นมาเองหลายอย่างในปีนี้ ก็เพื่อปูพื้นเตรียมงาน 750 ปีเมืองเชียงรายที่จะมีงานใหญ่ในปีหน้านั่นเอง.


ไมตรี ลิมปิชาติhttp://www.dailynews.co.th

ฮอนด้าแนะนำซิตี้ รุ่นพิเศษ Society ชูจุดขายสีขาวบริลเลียน ไวท์ เพิร์ล

ฮอนด้าเปิดซิตี้รุ่นพิเศษเติมออฟชั่นราคา6.3-6.6แสน

ฮอนด้าแนะนำซิตี้ รุ่นพิเศษ Society ชูจุดขายสีขาวบริลเลียน ไวท์ เพิร์ล เคาะราคาขาย 6.618 และ 6.368 แสนบาท

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) แนะนำรถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ รุ่น “Society” เพื่อตอบสนองผู้ต้องการรถยนต์สไตล์สปอร์ต รูปทรงโฉบเฉี่ยว สะดุดตา ที่เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน

ฮอนด้า ซิตี้ รุ่น “Society” โดดเด่นด้วยสีขาวใหม่ บริลเลียนท์ ไวท์ เพิร์ล ให้ความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ด้วยเครื่องยนต์ไอ-วีเทค ขนาด 1.5 ลิตร 120 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิ ชุดเซนเซอร์ท้าย 4 จุด เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้นขณะถอยหลัง นอกจากนี้ยังมีแผงคอนโซลแอลอีดี เพิ่มความสวยงามให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วดีไซน์ใหม่และตราสัญลักษณ์ “Society”

สำหรับภายในห้องโดยสารของฮอนด้า ซิตี้ “Society” ยังให้ความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งคนขับที่สามารถปรับความสูงได้ ช่องเก็บของใต้เบาะด้านหลัง ระบบเครื่องเสียงแอดวานซ์ ออดิโอ ที่เชื่อมต่อกับไอพอดได้ สายเชื่อมต่อยูเอสบี ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรก และระบบช่วยเบรก สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอี20 ได้

ฮอนด้า ซิตี้ “Society” มีจำหน่าย 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ รุ่นวี เอที (เอสอาร์เอส) ราคา 6.618 แสนบาท และรุ่นวี เอที ราคา 6.368 แสนบาท












 

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

วันครบรอบเมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลอง 125 ปี ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ทั่วโลก

วันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1886 เป็นวันครบรอบที่คาร์ล เบนซ์ได้จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์คิดค้นรถยนต์คันแรกของโลก ซึ่งมีชื่อว่า "เบนซ์ มอเตอร์วาเก้น" มุ่งตอกย้ำ ความเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ใน 5 ด้าน ได้แก่ ผู้นำนวัตกรรมด้านการผลิตรถยนต์ ผู้นำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยียนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ผู้นำนวัตกรรมด้านความปลอดภัย ผู้นำนวัตกรรมด้านความสะดวกสบาย และผู้นำนวัตกรรมด้านดีไซน์
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมฉลองโกลบอลแคมเปญ "125 ! Years of innovation" ในโอกาสครบรอบ 125 ปีที่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก พร้อมมุ่งสร้างสรรค์อนาคตแห่งการขับเคลื่อนและตอกย้ำความเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมยานยนต์อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ครองความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดรถยนต์หรูมากว่าศตวรรษ 
ศาสตราจารย์ ดร.อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า ในปี 2011 นี้เป็นปีสำคัญที่เดมเลอร์ เอจี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศเยอรมนีจะจัดงาน ครบรอบ 125 ปี รถยนต์เมเซอร์เดส-เบนซ์ที่คาร์ล เบนซ์ได้จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์คิดค้นรถยนต์คันแรกของโลก ซึ่งมีชื่อว่า "เบนซ์ มอเตอร์วาเก้น" เมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1886 ทำให้วันนี้ของทุกปีกลายเป็นวันสำคัญในฐานะวันถือกำเนิดรถยนต์คันแรกของโลก

"แคมเปญเฉลิมฉลองการครบรอบ ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ในการเป็นผู้นำด้วยความเชื่อมั่นและสไตล์ที่เป็นบทพิสูจน์ในตัวเอง โดยได้ผสานทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของแบรนด์เราในแบบที่เรียบง่าย แต่สื่อสารได้อย่างชัดเจนว่าเราได้คิดค้นรถยนต์ขึ้นเมื่อ 125 ปีที่แล้ว เรายังคงคิดค้นอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อ นำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ ๆ อย่างไม่ขาดสาย และเราจะยังรักษาบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตแห่งการขับเคลื่อนที่ยั่งยืนด้วยการเป็นผู้นำนวัตกรรม" โดยเราจะมุ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ใน 5 ด้าน ได้แก่ ผู้นำนวัตกรรมด้านการ ผลิตรถยนต์ ผู้นำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยียนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ผู้นำนวัตกรรมด้านความปลอดภัย ผู้นำนวัตกรรมด้านความสะดวกสบาย และ ผู้นำนวัตกรรมด้านดีไซน์"

หนึ่งในนวัตกรรมที่มีความสำคัญที่สุดของบริษัท ได้แก่ รถยนต์สมัยใหม่คันแรกรุ่นเมอร์เซเดส 35 HP ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ ของปี ค.ศ. 1900 รถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นต้นแบบของรถยนต์ส่วนบุคคลที่ใช้กันอยู่จวบจนปัจจุบัน
ปี 1906 โดยได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยี hybrid จากพลังงานแบตเตอรี่อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ควบคู่กับน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงปลายทศวรรษ 60 จนล่าสุดในปี 2010 อิเล็กทริกคาร์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ก็ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกันถึง 3 รุ่น A-Class E-Cell, Vito E-Cell และ B-Class F-Cell โดยการสร้างสรรค์รถยนต์ในซีรีส์ ต่าง ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นนำมาซึ่งแนวคิด BlueEFFICIENCY 
นอกจากนี้ยังได‰สร้างมาตรฐานความปลอดภัยให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ ส่วนที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร ซึ่งได้รับสิทธิบัตรในปี 1951, ระบบเบรก ABS ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกในปี 1978, ถุงลมนิรภัยที่นำมาใช้ตั้งแต่ปี 1981 รวมไปถึงระบบทรงตัว อัตโนมัติ ESP (Electronic Stability Program) ในปี 1995 และระบบปกป้อง PRE-SAFE ในปี 2002 โดยจะเห็นว่านวัตกรรมเหล่านี้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วไปในปัจจุบัน

นายฉัตวิทัย ตันตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "สำหรับการเฉลิมฉลองโกลบอลแคมเปญ 125 ! Years of innovation" ถือเป็นการตอกย้ำแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในฐานะผู้สร้างประวัติศาสตร์แห่งโลกยานยนต์มากว่า 125 ปี ในประเทศไทยนั้นบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การนำเสนอแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ดูก้าวล้ำนำสมัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอยนตรกรรมรุ่นใหม่ ๆ


Credit : http://www.prachachat.net

เทสต์ คาร์ เชฟโรเลต ครูซ ตอบสนองทุกความต้องการ

คอลัมน์ เทสต์ คาร์

โดย อมร พวงงาม


กลางสัปดาห์ก่อน "คุณพี่จอย" ศศินันท์ ออลแมนด์ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ขนทัพนักข่าวกว่า 80 ชีวิตไปร่วม ทดสอบเชฟโรเลต ครูซ คอมแพ็กต์ซีดานรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งตั้งใจเอามาแทนเชฟโรเลต ออพตร้า ที่จังหวัดเชียงใหม่ผมเองก็ไม่พลาดโอกาสที่จะไปร่วมสัมผัสและเรียนรู้ถึงสมรรถนะเจ้าครูซตัวนี้ เนื่องจากเป็นของใหม่เอี่ยมอ่อง หรือจะบอกว่า "สด" ที่สุดในตลาดตอนนี้เลยก็ไม่ผิด
และที่สำคัญรถคันนี้ยังได้รับการพัฒนาโดยทีมงานจีเอ็มและเชฟโรเลตจากทั่วโลก ภายใต้แนวคิด "โกลเบิล คอมแพ็กต์ คาร์" พร้อมการันตีความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลต่าง ๆ กว่า 40 รางวัล 
ว่ากันว่าก่อนที่จะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในบ้านเรา "ครูซ" ได้เสียงตอบรับอย่างอบอุ่น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นจากยอดขายมากกว่า 2,000 คันคุณพี่จอยบอกว่า ที่เลือกโลเกชั่นทดสอบพื้นที่ภาคเหนือ ก็เพราะที่นี่มีเส้นทางหลากหลายที่ครบทุกความท้าทาย

เริ่มจากถนนในตัวเมืองที่การจราจรค่อนข้างคับคั่ง ลัดเลาะออกนอกตัวเมืองด้วยเส้นทางหลวงสู่ความท้าทายของถนนทางชันขึ้น-ลงภูเขา ที่พร้อมให้เหล่านักทดสอบและผู้สื่อข่าวทุกคนได้ทดสอบสมรรถนะของเชฟโรเลต ครูซ ทั้งอัตราเร่งและระบบกันสะเทือนกันอย่างเต็มที่ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายของขุนเขาอันงดงามตามเอกลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่


การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 เส้นทางหลัก คือ การทดสอบบนเส้นทางตัวเมืองเชียงใหม่-สะเมิง สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร และการทดสอบบนเส้นทางตัวเมืองเชียงใหม่-แม่แตง สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ทั้งสองเส้นทางต้องการให้ผู้ทดสอบได้ทราบถึงจุดขายของเชฟโรเลต ครูซ ตั้งแต่ขุมพลัง ระบบกันสะเทือน ระบบส่งกำลังที่โดดเด่น โดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่มาพร้อม DSC-Driver Shift Control สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้แบบเกียร์ธรรมดา 
เราปล่อยสตาร์ตกันที่ "ดิ ออฟฟิศ" ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมือง ใกล้ ๆ หัวสนามบินเชียงใหม่ ผมได้กรุ๊ปแรกจำนวน 10 คัน เป็นเครื่องดีเซล 2.0 ลิตร เส้นทางทดสอบก็ต้องไปขึ้นเขากันละครับ ปล่อยให้กรุ๊ปหลังเครื่องเบนซินอีก 10 คันไปโลดแล่นกันในเมือง

หลังจากเปิดประตูรถ สัมผัสแรกที่ได้เห็น ยก "นิ้วโป้ง" ให้เลยครับ ไม่ใช่โกรธนะ แต่ไม่อยากเชื่อ หันไปพูดกับเพื่อน นักข่าวอีกฉบับว่า "เดี๋ยวนี้อเมริกันที่เอะอะอะไรก็เลือกผลิตของใหญ่เทอะทะไว้ก่อน วันนี้เขาดีไซน์รถได้สวยงามเยี่ยงนี้เชียวหรือ ?"

ไล่เรียงมาตั้งแต่หน้าปัดทรงกลม แดชบอร์ดที่ต่อเชื่อมกับแผงข้างประตู และคอนโซลกลางได้อย่างลงตัว สวิตช์ควบคุมต่าง ๆ ใช้งานง่าย พวงมาลัยทรงสปอร์ตสวยบาดตาบาดใจ วัสดุที่ใช้ก็เนียนมาก แถมมีดีไซน์ด้วยสีสัน ซึ่งโดนใจวัยรุ่น

จะมีต้องติบ้างนิดหน่อย เช่น ขาดที่พักเท้า ทำให้เวลาขับบาลานซ์ตัวยังไม่ดีเท่าที่ควร สวิตช์ควบคุมพัดลมแอร์ชิด ขาซ้ายมากไป จังหวะเลี้ยวหรือโยนตัวหัวเข่าไปถูก ทำให้ความแรงลมเปลี่ยนแปลงบ่อย 
และที่น่าตีมากที่สุดก็คือ ตำแหน่งก้านไฟเลี้ยว ปกติรถอเมริกัน ยุโรป ก็เป็นที่คุ้นเคยกันว่าต้องใช้มือซ้าย แต่ครูซตัวนี้อยากเอาใจคนไทยที่ติดมือขวากับรถญี่ปุ่น ก็เลยย้ายข้างซะ กว่าจะคุ้นก็เล่นเอาปัดน้ำฝนทำงานไปหลายสิบเที่ยว

ฟิลลิ่งการขับขี่ คะแนนเต็ม 10 ผมให้ 8-9 แต้มเลยนะครับ ทะมัดทะแมงดีมาก แฮนด์ลิ่งไปได้ตามสั่ง ระบบช่วงล่างก็หนึบเอาเรื่อง ยิ่งได้เสี่ยป็อด ประภาฬ ม้ามณี วางเส้นทาง โหย...สนุกมือดีจริง ๆ 

เส้นทางจากแม่ริมขึ้นสะเมิง หลายคนคงรู้ว่ามีเป็นร้อย ๆ โค้ง ทั้งขึ้นเขายาวต่อเนื่องสลับหัวศอกขวา หักศอกซ้าย และปักหัวลงแบบน่ากลัว แต่ "ครูซ" ตัวนี้ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ได้ยอดเยี่ยม เครื่องยนต์ดีเซล 2 ลิตรดีเซล พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGT พ่วงไปกับเทคโนโลยีหัวฉีด VCDi ที่มีแรงดันสูงถึง 1,600 บาร์ ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อม อินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ รีดกำลังสูงสุดได้ถึง 150 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที 



แรงบิดจำนวนมหาศาลที่ 320 นิวตันเมตร ซึ่งมาในรอบ ต่ำ ๆ เพียง 2,000 รอบ/นาที ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดได้อย่างลงตัว แต่บางช่วงที่ต้องการ ความต่อเนื่องของกำลังเครื่องยนต์ แนะนำให้ใช้วิธีโยกปรับเปลี่ยนเกียร์แบบแมนวล ซึ่งเชฟโรเลตเรียกระบบนี้ว่า DSC หรือ Driver Shift Control จะทำให้การเรียกกำลังได้ ต่อเนื่องและราบรื่นกว่าเยอะเลย เพราะหากปล่อยให้อยู่ในโหมด D ซึ่งปรับเปลี่ยนเอง ต้องบอกว่า "ช้า" ไม่ทันใจวัย รุ่นเอาเสียเลย 

นอกจากพละกำลัง การขับขี่ได้อย่างตื่นเต้นแล้ว ด้านระบบความปลอดภัยก็มีมาครบเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ ทั้งป้องกันเชิงรุกและเชิงรับ ด้วยตัวถังแบบ Body Frame Integral ซึ่งเป็นเหล็กกล้า high strength steel กว่า 65%

ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อม ABS ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน มีระบบกระจายแรงเบรก ช่วยให้เบาแรงและรักษาสมดุล มีระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และป้องกันล้อหมุนฟรี traction control เป็นอุปกรณ์มาตรฐานยกเว้นรุ่น 1.6 ลิตรเบนซิน

ส่วนรุ่นเบนซิน 1.8 ลิตร ก็สนุกด้วยอัตราเร่งจี๊ดจ๊าดใช้ได้ 141 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 177 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบ/นาที ตัวนี้มีเกียร์ธรรมดา 5 สปีดให้เลือก 

ขณะที่รุ่นเบนซิน 1.6 ลิตร ใช้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบ multi-point พร้อมระบบปรับระยะทางเดินท่อไอดีแบบแปรผัน รีดแรงม้าได้ 109 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ขับสนุกแบบประหยัด รุ่นนี้ก็มีระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีดให้เลือกด้วย

สนนราคาเริ่มต้นที่ 7.3 แสน ไปจนถึงตัวท็อป 1.165 ล้านบาท จัดเป็นเก๋งขนาดกลางที่สาวกรถอเมริกันห้ามมองข้าม เด็ดขาด


Credit : http://www.prachachat.net

บีเอ็มฯคว้า 2 รางวัล มอเตอร์เอ็กซ์โป บูทสวย คอนเซ็ปต์โดนใจ

คอลัมน์ ออโต อัพเดต

บริษัท สื่อสากล จำกัด ยังได้จัดให้มีพิธีมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่บริษัทรถยนต์ที่ร่วมแสดงในงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27" 

1.บริษัทที่ออกแบบและตกแต่งบูทได้งดงามที่สุดในงาน ได้แก่ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับส่วนลดในการจองพื้นที่งาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28" มูลค่า 100,000 บาท

2.รถยนต์ที่มีคุณสมบัติสอดคล้องที่สุดกับคำขวัญประจำงาน "น้ำหนึ่งใจเดียว...สร้างสรรค์ยานยนต์รักโลก" ได้แก่ TOYOTA รุ่น PRIUS จากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้รับส่วนลดในการจองพื้นที่งาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28" มูลค่า 200,000 บาท

3.บริษัทที่สามารถนำคำขวัญ "น้ำหนึ่งใจเดียว...สร้างสรรค์ยานยนต์รักโลก" มาแสดงออกเป็นรูปธรรมได้ดีที่สุด ได้แก่ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับส่วนลดในการจองพื้นที่งาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28" มูลค่า 300,000 บาท

4.บริษัทที่สามารถควบคุมการใช้เสียงในบูทได้ตามมาตรฐานของงานมากที่สุด ได้แก่ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ LEXUS บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด 

5.บริษัทที่นำรถต้นแบบมาแสดงในงาน ได้แก่ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำรถยนต์ต้นแบบรุ่น RYUGA มาแสดง บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำรถยนต์ต้นแบบรุ่น I MIEV Sport มาแสดง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำรถยนต์ต้นแบบรุ่น BRIO มาแสดง บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด นำรถยนต์ต้นแบบรุ่น Blue-Will มาแสดง บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำรถยนต์ต้นแบบ รุ่น INDICA VISTA EV มาแสดง

สำหรับรางวัล "Moter Expo Smart Pretty Vote 2010" ผู้ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากผู้ชมงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27" มีดังนี้ 

รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวฐิติกานต์ สิทธิสัมพันธ์ (น้องหลับปุ๋ย) บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัลทองคำหนัก 5 บาท 

อันดับ 2 ได้แก่ นางสาวชนกสุดา พัวจิรพาณิชย์ (น้องไข่มุก) บริษัท รามคำแหงกรุ๊ป จำกัด หรือ BRG ได้รับรางวัลทองคำหนัก 2 บาท 

อันดับ 3 ได้แก่ นางสาวดวงนภา เข็มเจริญ (น้องปูเป้) บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับรางวัลทองคำหนัก 1 บาท 

และขวัญใจ Social Network ได้แก่ นางสาวฐิติกานต์ สิทธิสัมพันธ์ (น้องหลับปุ๋ย) บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัลทองคำหนัก 1 บาท


ขอบคุณ นสพ ประชาชาติธุรกิจ

http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02car09310154&sectionid=0210&day=2011-01-31

ชู′แจ๊ซ-บริโอ้-ซีวิค′ โฉมใหม่′ฮอนด้า′ลั่นส่งรถใหม่ชิงตลาดทุกไตรมาส

′ฮอนด้า′ลั่นส่งรถใหม่ชิงตลาดทุกไตรมาส ชู′แจ๊ซ-บริโอ้-ซีวิค′ โฉมใหม่ 

"ฮอนด้า" แบกลยุทธ์ปี′54 เข็นรถใหม่ลงตลาดทุกไตรมาส แจ๊ซไมเนอร์เชนจ์-อีโคคาร์-ซีวิค โฉมใหม่ รับเต็มปากปีนี้เป็นปีทอง วาดฝันกวาดยอดขายทะลุ 145,000 คัน ปั้น "อีโคคาร์" ดูดลูกค้า ตจว. เร่งขยายกำลังผลิตเต็มวันละ 4 กะ รวม 240,000 คันต่อปี 

นายอาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธาน บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้น่าจะเป็นปีทองของฮอนด้า บริษัทคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ตามแผนที่วางไว้บริษัทจะส่งรถยนต์รุ่นใหม่มาสนับสนุนทุกไตรมาสตลอดทั้งปี เริ่มจากไตรมาสแรกส่งแจ๊ซไมเนอร์เชนจ์รักษาฐานลูกค้า หลังจากนั้นในช่วงต้นของไตรมาสที่สองจะมีอีโคคาร์ รถเล็กประหยัดน้ำมันใช้ชื่อว่าฮอนด้า บริโอ้ ทำตลาด ซึ่งเชื่อว่าเสียงตอบรับน่าจะถล่มทลาย และในช่วงไตรมาส 3 ก็พร้อมส่งนิวซีวิค โมเดลเชนจ์ ถล่มตลาดเก๋งกลางอีกระลอก ก่อนปิดฉากปีด้วยงานมอเตอร์เอ็กซ์โป



"ปีนี้ฮอนด้าจะทำตัวเลขได้ถึง 145,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่ผ่านมาซึ่งทำได้ 114,000 คัน ในขณะที่ยอดขายร่วมทั้งตลาดน่าจะแตะระดับ 850,000 คัน"


นายฟูจิโมโตะกล่าวอีกว่า นอกจากการวางแผนตัวสินค้าอย่างเป็นระบบแล้ว ฮอนด้ายังได้ปรับปรุงไลน์การผลิตใหม่ จากปัจจุบันมี 2 ไลน์ ทำ 3 กะ จะเพิ่มเป็น 4 กะ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและส่งออก โดยปรับเพิ่มกำลังการผลิตจาก 200,000 คัน เป็น 240,000 คัน และเพิ่มศักยภาพการทำตลาดด้วยการลงทุนอีกจำนวนมหาศาล ปรับปรุงรถโมเดลอื่น ๆ ปรับระบบการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ป้อนให้กับฮอนด้า นอกเหนือไปจากอีโคคาร์ และซีวิคฟูลโมเดล  

ผู้สื่อข่าวถามถึงการให้ความสำคัญต่อพลังงานทางเลือก นายฟูจิโมโตะกล่าวว่า ฮอนด้าให้ความสำคัญทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน อี 85 และซีเอ็นจี (เอ็นจีวี) ซึ่งตอนนี้กำลังศึกษาอย่างจริงจัง เร็ว ๆ นี้คงมีความคืบหน้าให้เห็น

ขณะที่รถยนต์ไฮบริดนั้น ฮอนด้ายังไม่มีแผนงานชัดเจนและเป็นรูปธรรม ต้องรอดูความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ฮอนด้าต้องใช้เวลาตรวจสอบความสนใจและความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มลูกค้าชาวไทยต่อรถยนต์ไฮบริด อย่างในอเมริกาหรือญี่ปุ่นเอง จะเห็นว่ากลุ่มผู้ที่สนใจเลือกใช้รถยนต์ประเภทนี้จะเป็นกลุ่มผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 

การประเมินตลาดปีนี้ ฮอนด้าไม่คิดว่าตลาดโดยรวมโตมากเหมือนเช่นปีก่อน แต่เชื่อว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมและตลาดรถยนต์จะมีอัตราการเติบโตเรื่อย ๆ แต่ทั้งนี้จะต้องหมายความว่าไม่มีปัจจัยลบทางด้านการเมืองมาส่งผลกระทบ และฮอนด้าขอให้ความมั่นใจว่าแม้ว่าจะมีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทก็จะไม่ตัดสินใจย้ายฐานผลิตออกจากประเทศไทยอย่างแน่นอน

ส่วนแผนการรุกและรับตลาดรถเก๋งเล็กที่จะมีอีโคคาร์มากระทบ ฮอนด้าได้พยายามวางแคแร็กเตอร์ของรถแต่ละรุ่นแต่ละโมเดลไว้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้อาจจะมีความกังวลว่าอีโคคาร์จะกินส่วนแบ่งกันเอง แต่วันนี้รถทั้ง 2 มีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ฮอนด้าแจ๊ซถูกวางให้เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่มีความอเนกประสงค์ ขับขี่สนุกและมีความคล่องตัวสูง ขณะที่อีโคคาร์นั้นมุ่งเน้นไปที่ความประหยัด 

"เราตั้งใจใช้บริโอ้ขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น และจะเป็นสินค้าตัวหลักของเราในปีนี้ เพราะฉะนั้นเรากำลังจะขยายฐานลูกค้าออกไปต่างจังหวัดให้มากขึ้นด้วย ฮอนด้าเป็นค่ายรถยนต์ที่ไม่มีปิกอัพ ดังนั้นบริโอ้คือตัวที่จะมาชดเชยตลาดตรงนี้ให้กับฮอนด้า" นายฟูจิโมโตะกล่าว
ขอบคุณพิเศษ นสพ ประชาชาติธุรกิจ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1296280013&grpid=02&catid=no

ยามาฮ่า ฟิโอเร่ ฮอนด้า เวฟ110ไอ สองแบบสองสไตล์

ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ สร้างบรรยากาศจี๊ดรับปีเถาะ ด้วยการเปิดตัว ยามาฮ่า ฟิโอเร่ ลวดลายกราฟิกสุดล้ำ กิ๊บเก๋โดนใจวัยทีน ฟิโอเร่มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 115 ซีซี หัวฉีดอัจฉริยะวายเอ็มเจอีที ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของยามาฮ่า ที่ออกแบบให้มีลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมอากาศ เข้าสู่ตัวเครื่อง 2 ตัว เมื่อรถจอด ลิ้นปีกผีเสื้อตัวในจะปิดสนิท เพื่อให้อากาศเข้าน้อยลงยิ่งช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงยิ่งขึ้น 
    
หน้าปัดดีไซน์สุดล้ำกับรูปทรงฟรีฟอร์มพร้อมฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ  ระบบไฟโชว์สภาพเครื่องยนต์ทุกครั้งที่สตาร์ต และเตือนให้เช็กระยะทุก 4,000 กิโลเมตร พร้อมที่เก็บของอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ 17 ลิตร จุของได้มากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน สะดวก กับช่องเติมน้ำมันอัตโนมัติตำแหน่งใหม่เปิดอัตโนมัติด้านหน้า ไม่ต้องลงจากรถเปิดเบาะและฝาน้ำมันอีกทั้งไม่ต้องดึงกุญแจออก และเท่ด้วยล้อแม็กเล็กเทรนด์ใหม่ ขนาด 12 นิ้ว แบบไม่มียางใน ไม่มีรั่วซึม หน้ายางกว้างขึ้น เกาะถนนมากขึ้น ราคาเคาะอยู่ที่คันละ 44,500 บาท 
     
ทางด้าน เอ.พี.ฮอนด้า ได้ประเดิมต้นปีด้วยรถยอดนิยมสุดฮิตตลอดกาล ฮอนด้า เวฟ110 ไอ รถขวัญใจครอบครัวที่อยู่คู่กับคนรุ่นใหม่
    
สำหรับ เวฟ110 ไอใหม่นี้ ได้ออกแบบบังลมใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เหมาะกับการใช้งานแบบครอบครัว ขยายพื้นที่กล่องเก็บของใต้เบาะให้ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 7.4 ลิตร สามารถบรรจุหมวกกันน็อกขนาดครึ่งใบได้สบาย ท่อไอเสียออกแบบใหม่ ทำจากวัสดุสเตนเลสกันสนิมพร้อมแผ่นกันความร้อน 
    
นอกจากนี้ฮอนด้ายังได้พัฒนาสมรรถนะของรถโดยเฉพาะระบบหัวฉีด พีจีเอ็ม-เอฟ1 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นยุคที่ 4 โดยมีระบบสมองกล (อีซียู) ทำการควบคุมการทำงานให้ได้ดียิ่งขึ้น
    
อีกทั้งยังได้ลดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นลง เพื่อให้ทำการบำรุงรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น สามารถถอดเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันได้ เพิ่มความสะดวกแก่ผู้ใช้ ที่สำคัญรถรุ่นนี้มีอัตราการประหยัดน้ำมันมากกว่ารถทุกรุ่นอยู่ที่ 57 กม./ลิตร ราคาอยู่ที่คันละ 38,400 บาท โดยฮอนด้าเปิดให้จับจองเป็นเจ้าของในวันแห่งความรัก 14 ก.พ.เป็นต้นไป.

เนตรนภางค์ บุญนายืน

ขอบคุณ นสพ เดลิวส์ http://www.dailynews.co.th/

มินิ คันทรีแมน จิวแจ๋ว ปราดเปรียว

มินิ คันทรีแมน ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับแฟน ๆ มินิในเมืองไทย ด้วยแนวคิดรถยนต์นั่งอเนกประสงค์แบบครอสโอเวอร์ มีห้องโดยสารกว้างขวางสำหรับผู้ใหญ่ 4 คนนั่งได้อย่างสบาย อีกทั้งยังผสมผสานกับอารมณ์การขับที่สนุกสนานและปราดเปรียวว่องไวในสไตล์รถโกคาร์ท การออกแบบภายในของคันทรีแมนยังมีรูปแบบที่แปลกใหม่สะดุดตา นอกจากจะมีความโดดเด่นแล้วยังมีประโยชน์ใช้สอยลงตัว เช่น นวัตกรรมใหม่สำหรับการจัดเก็บสิ่งของภายในห้องโดยสารได้อย่างชาญฉลาด และในรุ่นมินิ คูเปอร์ เอส ออล 4 คันทรีแมน ยังได้ติดตั้งระบบมินิ คอนเนคเต็ด ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่รถยนต์สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้
    
อีกทั้งรถรุ่นนี้ยังมุ่งเน้นการขับขี่ในเมืองอย่างปราดเปรียว เปี่ยมด้วยสไตล์และรสนิยมที่โดดเด่นและตอบสนองประโยชน์ใช้สอยด้วยคอนเซปต์ตัวถังแบบ 4 ประตู 4 ที่นั่ง พร้อมด้วยฝาท้ายขนาดใหญ่ที่เปิดได้กว้าง ห้องโดยสารที่สามารถปรับให้แปรเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ เพื่อรองรับความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน
    
คันทรีแมนมีให้เลือก 2 รุ่นคือ มินิ  คูเปอร์ เอส ออล 4 คันทรีแมน เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 184 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-5,000 รอบ/นาที  และสามารถเพิ่มเป็น 260 นิวตัน-เมตร ในขณะเร่งแซงด้วยฟังก์ชั่นโอเวอร์บูสต์ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และอีกรุ่นคือ มินิ คูเปอร์ คันทรีแมน เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีวาล์วแปรผันอัจฉริยะ สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ 122 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที  และแรงบิดสูงสุด 160 นิวตัน-เมตรที่ 4,250 รอบ/นาที  ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สนนราคาอยู่ที่ 3,290,000 และ 2,790,000 บาท.

เนตรนภางค์ บุญนายืน


ขอบคุณ นสพ เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/