วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ศรีลังกา...ดินแดนแห่งศรัทธา

เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสิงหลกับกบฏแบ่งแยกดินแดนพยัคฆ์ทมิฬ ความรุนแรงจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นยังคงเป็นภาพติดตาผู้คนทั่วโลกรวมทั้งคน ไทย ทว่าวันนี้เมืองพุทธที่เป็นดั่งเมืองพี่เมืองน้องกับไทยอย่างศรีลังกานั้น ไม่เพียงมีแต่ความสงบเงียบ หากแต่ยังเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสวนกระแสโลกแห่งวัตถุและ วิทยาการ

การเดินเวียนรอบต้นไทรพร้อมกับท่องบทสวดมนต์ หรือนั่งกระจายอยู่เกือบเต็มลานวัดเพื่อสวดภาวนากลายเป็นภาพคุ้นตาที่พบเห็น ได้ทั่วไปในพุทธสถาน ขณะที่เกือบทุกแยกมุมหรือแม้แต่ปากตรอกเล็ก ๆ เข้าสู่ชุมชนมีพระพุทธรูปทั้งเล็กและใหญ่ประดิษฐานอยู่เพื่อให้ผู้คนที่ผ่าน ไปมาได้สักการะ

แต่สิ่งที่ดึงดูดให้ไทยพุทธมุ่งมั่นเดินทางไปยังศรีลังกาวันนี้ เป็นเพราะการได้ไปสักการะพระทันตธาตุหรือที่มักเรียกกันว่าพระเขี้ยวแก้ว พระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นเขี้ยวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดมัลลิกา ดาลดา แห่งเมืองแคนดี ซึ่งว่ากันว่าเป็นเพียงองค์เดียวที่ปรากฏบนโลกมนุษย์โดยมีหลักฐานรองรับความ ถูกต้องตรงตามพระคัมภีร์มหาวังศาว่าด้วยพระทันตธาตุ

ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเขี้ยวแก้วที่เล่าขานกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งอังกฤษยก ทัพเข้ามายึดกรุงศรีวัฒนาปุระแคนดีแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ.2352 โดยยึดเอาพระเขี้ยวแก้วมาเป็นข้อต่อรองให้ชาวศรีลังกาวางอาวุธ ขณะที่อังกฤษยึดพระเขี้ยวแก้วไว้นั้นศรีลังกาเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ติดต่อกันหลายปี ชาวลังกาจึงเจรจากับผู้ปกครองอังกฤษ ขออนุญาตให้มีการนำพระเขี้ยวแก้วมาเปิดบูชาตามประเพณีโบราณ ฝ่ายอังกฤษก็ยินยอม ในระหว่างทำพิธีนั้นเอง ท้องฟ้าที่เคยปราศจากเมฆฝนมาหลายปีก็บังเกิดฝนเทลงมา
สร้างความชุ่มฉ่ำและอัศจรรย์ใจให้ผู้คนที่พบเห็น

ปาฏิหาริย์จากพระเขี้ยวแก้วที่ชาวลังกาเคารพศรัทธานี้เอง ทำให้ชาวพุทธลังกายินดีที่จะยืนเรียงต่อแถวเพียงเพื่อจะมีโอกาสได้เข้า สักการะพระเขี้ยวแก้วที่ถูกบรรจุอยู่ในเจดีย์ทองคำแค่ไม่กี่วินาที ขณะที่เด็กแรกเกิดนั้นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายก็จะพามานั่งสวดมนต์ภาวนาเพื่อ ขอรับพรจากพระเขี้ยวแก้ว เพราะเชื่อกันว่าความศักดิ์สิทธิ์จะช่วยคุ้มครองลูกหลานให้พ้นจากเภทภัยทั้ง ปวง

ว่ากันว่าหากเป็นช่วงที่มีการเปิดนำพระเขี้ยวแก้วออกมาอาจต้องเข้าแถวอย่าง ต่ำครึ่งวันจึงจะมีโอกาสได้เข้ามาสักการะ เพราะการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วออกมาทำพิธีสมโภชนั้นจะมีขึ้น 4-5 ปีครั้ง และต้องให้พระมหาสังฆนายก ซึ่งเทียบได้กับพระสังฆราช สยามนิกาย 2 องค์ที่ปกครองฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสี และตัวแทนของฝ่ายฆราวาส อันมาจากการเลือกตั้งจากผู้มีเกียรติ อันเป็นที่ยอมรับของทั้งทางฝ่ายศาสนาและประชาชน มีตำแหน่งเรียกว่า “นิละเม” นำกุญแจที่เก็บรักษาอยู่มาเปิดโดยพร้อมเพรียงกันเท่านั้น

ขณะที่วัดคงคาราม วัดของนิกายสยามวงศ์ที่อยู่ในตัวเมืองโคลัมโบนั้น เคยเป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์แห่งแรกของประเทศศรี ลังกามาก่อน จุดเด่นของวัดแห่งนี้อยู่ที่วิหารกลางน้ำซึ่งไม่เพียงเป็นที่ประดิษฐานพระ พุทธรูปจากพม่าเมื่อครั้งที่ชาวพม่ามาบูรณะวิหารแห่งนี้ ส่วนพระพุทธรูปแบบศิลปะไทยที่รายล้อมอยู่โดยรอบนั้นเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยนำมาถวาย วิหารกลางน้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางพุทธศาสนา ขณะที่ตัววัดนั้นตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

พระอุโบสถที่ค่อนไปทางทรงยุโรปนั้นภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปั้นศิลปะแบบศรี ลังกา ความงดงามของพระพุทธรูปองค์นี้ทำให้ถูกนำไปใช้ในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ พุทธศาสนาของศรีลังกาเสมอ แม้ว่าจะไม่ใช่พระพุทธรูปโบราณก็ตาม ส่วนศิลปะปูนปั้นแบบลอยตัวที่รายล้อมองค์พระพุทธรูปอยู่นั้นเป็นเรื่องราว ที่ถอดออกมาจากพุทธประวัติ ซึ่งมีเรื่องราวของพระราหุล พระราชโอรสในเจ้าชายสิทธัตถะ (พระโคตมพุทธเจ้า) กับพระนางยโสธราหรือพิมพา ซึ่งประสูติในวันที่พระบิดาออกผนวชรวมอยู่ด้วย

และพระราหุลนี่เองที่ทำให้พิธีการบวชของชายในพุทธศาสนาต้องมีการเอ่ยขอจาก พ่อแม่ก่อน เล่ากันว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและเสด็จไปทรงเผย แผ่พุทธศาสนา ณ แคว้นมคธ ได้เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระบิดาและพระประยูรญาติ และมีเหล่าสาวกติดตามเสด็จมาด้วย พระนางยโสธราได้รับสั่งให้พระกุมารราหุล ไปทูลขอพระราชสมบัติจากพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าจึงทรงบรรพชาราหุลเป็นสามเณรและให้เสด็จติดตามพระองค์ไปด้วย พระกุมารราหุลจึงเป็นสามเณรองค์แรกในพุทธศาสนา

ส่วนวัดกัลยาณี วัดประจำเมืองที่ชาวโคลัมโบให้ความเคารพอย่างสูงสุด ชาวพุทธศรีลังกา เชื่อกันว่า พระพุทธองค์เสด็จมาแสดงพระธรรมเทศนาโดยประทับบนอาสน์โปรดชาว
สีหล ณ พระอารามแห่งนี้ ซึ่งเป็นการเสด็จลังกาครั้งที่ 3 ปัจจุบันบัลลังก์ที่ประทับของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ในเจดีย์สีขาวองค์ ใหญ่รูปบาตรคว่ำแบบเจดีย์สาญจีที่ถือว่าเป็นเจดีย์ยุคต้นในอินเดีย ซึ่งอยู่ถัดไปด้านหลังโบสถ์นั่นเอง

นอกจากต้นศรีมหาโพธิ์ขนาดใหญ่แล้ว อาคารรูปทรงแบบยุโรปที่เป็นพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นจากหินทรายนั้น แม้ว่าจะมีอายุเพียงแค่ 300 กว่าปี แต่ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติพุทธศาสนาในลังกาที่มีความ สำคัญรวมอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือ ภาพพระทันตกุมารและพระนางเหมาลานำพระเขี้ยวแก้วเดินทางหนีภัยจากอินเดีย มาศรีลังกา

การเดินทางไปสักการะพระเขี้ยวแก้วที่ศรีลังกาวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากและต้อง จ่ายแพงอีกต่อไป เพราะแอร์เอเชียมีเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ-โคลัมโบ-กรุงเทพฯทุกวัน ดูรายละเอียดได้ที่ www.airasia.com ติดตามโปรโมชั่นและกิจกรรมของแอร์เอเชียได้ตลอดเวลาที่ twitter.com/AirAsiaThailand และ facebook.com/AirAsiaThailand.

http://www.dailynews.co.th/article/725/17656