วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

หนีเที่ยว“เขาค้อ”มุมมองใหม่

ภาพหมอกสีขาวในยามเช้าตัดกับวิวธรรมชาติ และลมหนาวอ่อนพัดผ่าน คงเป็นภาพในฝันของนักท่องเที่ยวทุกคนในช่วงฤดูหนาว ทำให้แหล่งท่องเที่ยวตามยอดดอยถูกจำจองเต็มพื้นที่ตลอดวันหยุดสุดสัปดาห์ช่วงนี้ เขาค้อ ก็นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในหน้าหนาว ที่นักเดินทางต่างให้ความสนใจ

วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนเขาค้ออีกครั้งหลังจากไม่ได้มาเป็นเวลาหลายปี



ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทั้ง สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) และ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวกองทัพบก (สง.ทท.ทบ.) สำหรับโครงการที่จะทำให้ทุกคนได้รู้ความเป็นมาของเขาค้อมากขึ้น ว่านอกจากจะเป็นจุดชมวิวและพักผ่อนที่สวยงามแล้ว ยังเคยเป็นสมรภูมิรบอันทรงเกียรติที่เหล่าทหารหาญเสียเลือดเนื้อเพื่อปกป้องประเทศอย่างมากมาย



จุดมุ่งหมายแรกในการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่ พระตำหนักเขาค้อ พระตำหนักที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ ตั้งอยู่บนเขาย่า สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,100 เมตร จัดสร้างโดยบรรดาข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ภายหลังการต่อสู้ด้วยอาวุธกับ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) สิ้นสุดลงแล้ว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ประชาชนในพื้นที่


เส้นทางขึ้นไปยังพระตำหนักเขาค้อนั้นทางขึ้นที่ค่อนข้างลาดชัน แต่ตลอดระยะทางคดเคี้ยวและน่าเวียนหัว ความสวยงามจากธรรมชาติรอบข้างจะทำให้นักเดินทางทุกคนตื่นตาตื่นใจจนลืมเรื่องระยะทางไปชั่วขณะ เพราะผมเองที่เคยมาที่เคยมาเยือนเขาค้อแล้วถึงสองครั้ง ก็ยังอดมีความสุขไม่ได้เมื่อได้เห็นวิวสองข้างทาง แต่ก็อดใจหายไม่ได้กับบรรดารีสอร์ทที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ซึ่งถ้าขาดการควบคุมอีกไม่นานความงามของเขาค้อคงจางหายไป

พอมาถึงยังพระตำหนักเขาค้อแล้วอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดคือ การพิชิตยอดเขาย่า ซึ่งในครั้งนี้ผมได้ผู้ร่วมเดินทาง 5 คน การเดินเท้าจากพระตำหนักขึ้นไปยังเขาย่านั้นระยะทางประมาณ 770 เมตร อาจเป็นเส้นทางที่ไม่โหดนักสำหรับนักผจญภัยตัวยง แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นชั้นดีของนักเดินเขาฝึกหัด การช่วยเหลือกันฟันฝ่าอุปสรรคตลอดระยะทาง นับเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ทางเดินเท้าสู่ยอดเขาย่าเป็นที่นิยมสำหรับผู้มาเยือนทุกคน



ใช้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงกับการช่วยกันทั้งพยุง จูงมือ ผู้ร่วมเดินทางทุกคนก็มาถึงยอดเขาย่าได้สำเร็จ ด้านบนยอดเขาย่าจะมีฐานปฏิบัติการทางทหารเดิมที่ใช้ในการต่อสู้กับ ผกค. และมีศาลาชมวิวชื่อ ศาลาพระเทพ ที่สามารถชมวิวได้โดยรอบ 360 องศา นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามจนทำให้ทุกคนลืมความเหนื่อยไปแบบไม่รู้ตัว โดยในจุดนี้นับเป็นจุดที่สูงที่สุดของเขาค้อซึ่งมีความสูง 1,305 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง



ยามเช้าที่บ้านพักที่ทางเจ้าหน้าที่ของพระตำหนักเขาค้อเตรียมไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว จะเห็นวิวของยอดเขาสลับซับซ้อนตรงเบื้องหน้า ตัดกับสายหมอกในยามเช้าในมุมมองที่กว้างสุดลูกหูลูกตาได้อย่างชัดเจน ทำให้ที่นี่เหมาะสำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนของนักท่องเที่ยวขาลุย เพราะนอกจากจะได้พักผ่อนใกล้ชิดกับธรรมชาติแล้ว ยังได้รำลึกถึงบุญคุณของเหล่าวีรบุรุษที่เสียเลือดเนื้อ เพื่อยึดคืนและรักษาพื้นที่ตรงนี้ให้คนรุ่นหลังได้เข้ามาสัมผัส


เป้าหมายแรกของการเดินทางในเช้าวันใหม่ของเราอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์อาวุธและการสู้รบ (ฐานอิทธิ)บริเวณนี้เคยเป็นฐานปืนใหญ่ ยิงสนับสนุนการสู้รบ ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง มีอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ใช้ในการสู้รบตั้งอยู่มากมาย เช่น เครื่องบินขับไล่ เอฟ 5 รถสายพานลำเลียงพล ปืนใหญ่ และซากของพาหนะที่ใช้สู้รบในสมัยนั้น ฯลฯ



 
ภายในอาคารมีห้องบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในยุทธภูมิเลือดเขาค้อ มีห้องจัดนิทรรศการ เกี่ยวกับอุปกรณ์ เครื่องใช้ เสื้อผ้า อาวุธของคอมมิวนิสต์ โดยแต่ละจุดมีป้ายประวัติพร้อมคำอธิบายประกอบ

จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวมาถึงอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา โดดเด่นด้วยแท่งหินอ่อนรูปทรงสามเหลี่ยม สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาค ของประชาชนและข้าราชการทุกฝ่าย โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ ได้เสด็จฯ มาเป็นองค์ประธานเปิดอนุสรณ์สถานแห่งนี้ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2527

เพื่อเป็นการเตือนใจคนไทยทั้งชาติว่า "ยามใดที่คนไทยขัดแย้งกัน จะต้องมีการสูญเสียอย่างผู้กล้าหาญ 1,171 ชีวิต ที่จารึกไว้กับองค์อนุสรณ์ จงอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก" ทางจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้กำหนดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ให้เป็นวันสมโภชอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อแห่งนี้ โดยทุกปีจะมีญาติของเหล่าวีรบุรุษผู้กล้า และชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงนักท่องเที่ยว เข้ามาร่วมงานเพื่อรำลึกถึงคุณความดีของท่านเหล่านั้นมากมาย



ด้านตรงข้ามของอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อจะเป็น ฐานกรุงเทพ เนินเตี้ยที่มีหลุมหลบภัย มีฐานยิงปืนใหญ่ ในอดีตเป็นฐานแห่งแรกที่ทหารไทยยึดคืนมาได้จาก ผกค. และเป็นจุดวางแผนในการปฎิบัติงานในการสู้รบ เมื่อยืนอยู่ที่ฐานกรุงเทพ สามารถมองเห็นเส้นทางคดเคี้ยว ที่เชื่อมต่อกัน เห็นทัศนียภาพของอำเภอเขาค้อได้ชัดเจนที่สุด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหามุมสวยๆถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก

มาถึงเขาค้อทั้งที่อย่าลืมแวะไหว้พระทำบุญที่ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก พระบรมธาตุสีขาวบริสุทธิ์งดงาม ออกแบบให้มีเอกลักษณ์ ศิลปะพุทธสถานทางภาคเหนือ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศศรีลังกา ที่ได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ฐานชั้นล่างนี้ มีซุ้มคูหา 4 ด้าน ภายในประดิษฐาน พระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศ  เป็นที่เคารพสักการะของนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาและชาวบ้านในพื้นที่



ถ้าเขามายังด้านในแล้วทุกคนจะเห็นถึงความสว่างไสวไปด้วยแสงเทียนที่เหล่าพุทธศานิกชนร่วมใจกันปฏิบัติเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยความเชื่อที่ว่าการบูชาพระบรมสารีริกธาตุด้วยแสงเทียนเสมือนแสงช่วยส่องใจให้สว่างและมีสติ โดยรอบประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ พระอวโลกิเตศวร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสักการะบูชา เป็นขวัญกำลังใจในการเดินทาง และการดำเนินชีวิต

การเที่ยวเขาค้อในมุมมองใหม่ครั้งนี้ น่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเดินทางของใครหลายคน เพราะบางครั้งการท่องเที่ยวในรูปแบบเดิมๆมากเกินไปก็จะทำให้เบื่อได้ง่าย ดังนั้นมาเยือนเขาค้อครั้งหน้าอย่าลืมมาหาประสบการณ์ใหม่ในสถานที่เหล่านี้ดูบ้าง ไม่แน่คุณอาจจะติดใจจนลืมการท่องเที่ยวรูปแบบเดิมๆไปเลยก็ได้.

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับการท่องเที่ยวเขาค้อในเส้นทางนี้ติดต่อ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวกองทัพบก โทร 0 2282 6835 , 0 2279 5904






ขอบคุณพิเศษ นสพ เดลินิวส์ : http://www.dailynews.co.th/