วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รุ่นบ็อกซเตอร์ เอส แบล็ค อิดิชั่น (Boxster S Black Edition) ที่ทั้งหรูและสปอร์ตเต็มตัว


การส่งรถซูเปอร์คาร์ เครื่องวางกลาง อย่าง บ็อกซเตอร์ เอส แบล็ค อิดิชั่น นั้นก็เพื่อมาเสริมทัพเพิ่มเติมหลังจากที่ ปอร์เช่ ปล่อยรุ่นบ็อกซเตอร์ สไปเดอร์ (Boxster Spyder) ออกมาชิมลางก่อนหน้านี้ โดยบ็กซ์เตอร์ เอส แบล็ค อิดิชั่น นี้ มาด้วยขุมพลังขนาด 320 แรงม้า ซึ่งมีม้ามากกว่ารุ่นบ็อกซเตอร์ เอส (Boxster S) ถึง 10 ตัว แถมยังเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่หลากหลาย และมีความพิเศษเหล่านี้ถูกติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับตัวรถและรวมอยู่ในราคาจำหน่ายแล้ว  ไม่ว่าจะเป็น คันนี้จะเป็นสีดำทั้งคันตั้งแต่ ตัวรถ หลังคาและล้อ 19 นิ้ว แบบรุ่นบ็อกซเตอร์ สปายเดอร์ สีดำเข้ม เพื่อแสดงให้เห็นถึงความทรงพลังของโร้ดเสตอร์ชั้นนำอีกด้วย 
ตัวถังของบ็อกซเตอร์ เอส แบล๊ค อิดิชั่น (Boxster S Black Edition) ให้ความโดดเด่นในเรื่องของคุณสมบัติที่เด่นชัดของความเป็นรถสปอร์ต และเพื่อเพิ่มการขับขี่ให้ตามหลักพลศาสตร์มากยิ่งขึ้น โมเดลรุ่นจำนวนจำกัดนี้จึงได้ติดตั้งยางขนาด 235/35 ZR 19 ทางด้านหน้าและ 265/35 ZR 19 ทางด้านหลังบนล้อที่มีน้ำหนักเบาและได้รับการออกแบบพิเศษในรูปแบบ 10 ก้านภายใต้ชื่อล้อ Boxster Spyder 
เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.4 ลิตร มาพร้อมกับระบบการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct Fuel Injection) ติดตั้งอยู่ด้านหน้าของเพลาหลัง ให้แรงม้าสูงสุดที่ 320 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 7,200 รอบต่อนาที (ขณะที่รุ่น บ็อกซเตอร์ เอส อยู่ที่ 6,400 รอบต่อนาที) แรงบิด 370 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้น 10 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ 4,750 รอบต่อนาที
เครื่องยนต์นี้ทำงานควบคู่กับ ระบบเกียร์ธรรมดาแบบ 6 จังหวะ ทำให้มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงอยู่ที่ 5.2 วินาที เร็วกว่ารุ่น บ็อกซเตอร์ เอส ด้วยเช่นกัน ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 276 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แรงกว่าบ็อกซเตอร์ เอส (Boxster S) ถึง 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือถ้าอยากสบาย ก็สามารถติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ 7 จังหวะ Porsche
Doppelkupplungsgetriebe (PDK) เพื่อความคล่องตัวและความว่องไว รวมไปถึงประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย หากติดตั้งระบบเกียร์นี้เข้าไปจะทำให้อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลดลงเหลือเพียง 5.1 วินาทีเท่านั้น ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 274 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 9.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
ทำไม ต้องเป็นสีดำ!!
คำตอบก็คือ ว่าแนวคิดเรื่องสีของรุ่นบ็อกซเตอร์ เอส แบล๊ค อิดิชั่น (Boxster S Black Edition) คือการใช้สีดำกับทุกๆ รายละเอียดของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นตะแกรงช่องดักอากาศทางด้านหลังยาวไปถึงปลายท่อคู่ของระบบท่อไอเสียนั้นต่างได้รับการพ่นเป็นสีดำอย่างสง่างาม แบบตัวอักษรสีดำของรุ่นจะถูกสลักลงบนฝาปิดกระโปรงด้านหลังและด้านข้างของหลังคาผ้าเพื่อระบุถึงความโดดเด่นในตระกูล Black Edition อีกด้วย แถบคานป้องกันการผลิกคว่ำ (Roll-over Bar) ยังได้รับการพ่นสีดำเพื่อความลงตัวด้วยเช่นเดียวกัน
Credit : http://www.posttoday.com/
lส้นสายสีดำของภายนอกจะถูกเชื่อมโยงต่อเข้ามาในการตกแต่งภายในเพื่อความต่อเนื่อง กาบประตูเหล็กสแตนเลสถูก สลักตัวอักษรคำว่า "Black Edition" สีดำ ลงไปเพิ่มความโดดเด่นและสะดุดตา พวงมาลัยแบบสปอร์ตก้านคู่ได้รับการห่อหุ้มด้วยหนังชั้นดี แผงควบคุมถูกตกแต่งด้วยเส้นสายสีดำ รวมไปถึงก้านเกียร์ที่เป็นสีดำเพื่อความสมดุลที่ลงตัว แผงหน้าปัดและที่นั่งแบบหนังบางส่วน (Partial Leather) เป็นสีดำ หรือสามารถเลือกตกแต่งภายในด้วยหนังสีดำ (Full Leather) ได้ อีกทั้งยังเสริมความโดดเด่นด้วยการสลักสัญลักษณ์ของปอร์เช่ลงไปตรงที่พักศีรษะอีกด้วย
นอกจากนี้บ็อกซเตอร์ เอส แบล๊ค อิดิชั่น (Boxster S Black Edition) ยังมีป้ายหลักที่บอกถึงความเป็นรุ่นพิเศษที่มีจำนวนจำกัด (Limited Edition) ได้ถูกประดับตกแต่งไว้บนฝาที่เก็บของสัมภาระภายในห้องโดยสาร เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นรุ่นสปอร์ตแบบ Black Edition นั่นเอง
ที่สำคัญ สำหรับแฟนๆ ปอร์เช่ ในประเทศไทย ลองถามไปที่ บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการในประเทศไทยดู ก็แล้วกัน อย่าช้าเพราะทั้งโลกมีแค่ 987 คัน
อยากเห็นในไทยสักคันสองคัน!!!!